Pages

Last Modified: Wednesday, November 30, 2016

หมอยาเจ้าเสน่ห์: จอมใจราชาปีศาจ บทที่ 79

หมอยาเจ้าเสน่ห์: จอมใจราชาปีศาจ 

บทที่ 79 เฟิ่งจิงเทียน จอมเจ้าเล่ห์ ตอนที่1


"องค์ชายฮวา? เย่อี้ฮวาน่ะหรือ?" นัยน์ตาของมู่หรูเยว่เปล่งประกายเย็นชา "เป็นเขานั่นเอง อู๋เฉิน ต่อไปเจ้าต้องอยู่ห่างๆเขา แม้แต่หน้าก็อย่าไปมอง ไม่อย่างนั้นเขาจะทำให้เจ้าเสียคนไปด้วย"

องค์ชายฮวาผู้น่าสงสาร ยังไม่ทันได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นก็โดนมู่หรูเยว่คาดโทษเสียแล้ว

"ไม่ว่าชายาพูดอะไรข้าย่อมเชื่อฟังเสมอ" เย่อู๋เฉินคลี่ยิ้มออกมา ดวงตาของเขาเปล่งประกายเจิดจ้าราวกับดวงอาทิตย์ ถึงขนาดสามารถหลอมละลายหัวใจที่เย็นชาดุจน้ำแข็งของมู่หรูเยว่

ยิ่งไปกว่านัยน์ตาของเขาช่างดูใสซื่อเหลือเกิน...

"อู๋เฉิน ในระหว่างที่ข้าไม่อยู่เจ้าต้องดูแลตัวเองให้ดี" มู่หรูเยว่จับมือของเย่อู๋เฉิน พลางคลี่ยิ้ม "ข้าให้สัญญาว่าจะรีบกลับมา"

เย่อู๋เฉินจ้องมองเด็กสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้า เขานึกอยากเก็บซ่อนนางเอาไว้ไม่ให้ใครเห็น แต่เขาก็รู้ดีว่าเด็กสาวผู้นี้ถูกลิขิตมาให้เปล่งประกาย

เย่อู๋เฉินก้าวเดินมาข้างหน้า กุมมือของมู่หรูเยว่เอาไว้ พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเผด็จการแต่ก็แฝงด้วยความเอาแต่ใจราวกับเด็ก "ชายา เจ้าเป็นของข้า... เจ้าเป็นของข้าตลอดไป"

มู่หรูเยว่คลี่ยิ้มไม่เก็บคำพูดของเขามาใส่ใจนัก มีหลายครั้งที่การกระทำของเย่อู๋เฉินทำให้จิตใจของนางว้าวุ่น แต่นางมองเขาเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง

ดังนั้นนางจึงไม่ใส่ใจกับคำพูดของเขามากนัก เพียงคิดว่าเป็นคำพูดของเด็กที่ไม่อยากพรากจากครอบครัว

บางทีความสำคัญของเย่อู๋เฉินในจิตใจส่วนลึกของนางนั้นเริ่มเปลี่ยนไปโดยที่นางไม่รู้ตัว ถึงแม้มู่หรูเยว่เคยผ่านประสบการณ์มามากมายจากชาติก่อน แต่เรื่องความสัมพันธ์นั้นเรียกได้ว่าเป็นศูนย์

เมื่อจ้องมองร่างของมู่หรูเยว่เดินจากไป นัยน์ตาใสบริสุทธิ์ของเย่อู๋เฉินค่อยๆเลือนหายไปและแทนที่ด้วยแววตาที่แฝงไปด้วยกลิ่นอายของความชั่วร้าย

มุมปากของเขาคลี่ยิ้ม พลางใช้นิ้วเรียวยาวลูบริมฝีปากของตน รอยยิ้มนั้นยิ่งทำให้ใบหน้าหล่อเหลาของเขาดูสะกดสายตา

"ดูเหมือนข้าต้องพยายามมากกว่านี้ จึงจะได้รับความรักจากนาง..."

////////

ภายในคฤหาสน์มู่ มู่อี้เสี่ยลุกขึ้นกะทะหันส่งผลให้เก้าอี้ครูดไปกับพื้น นัยน์ตาของนางเป็นประกาย "เจ้าพูดจริงหรือ? นังสารเลวมู่หรูเยว่เดินทางออกจากเฟิ่งเฉิง? เยี่ยมมาก ข้าจะทำให้นางไม่มีวันได้กลับมาอีก!"

ในขณะที่นางกล่าวประโยคนั้น ใบหน้าที่น่ารักน่าเอ็นดูของนางแสดงออกถึงความชั่วร้าย

เกลียด... นางจะไม่เกลียดมู่หรูเยว่ได้อย่างไร?

นางยังไม่ลืมเหตุการณ์ในวันนั้น ท่านพ่อกับเธอสู้อุตส่าห์ไปตามนางกลับบ้าน ใครจะรู้ว่านังสารเลวนั่นกลับทำให้นางอับอายต่อหน้าชายหนุ่มที่นางหลงรัก...

"แต่ว่า คุณหนู..." สาวใช้ของนางรู้สึกลังเลใจ คุณหนูใหญ่เป็นพี่สาวร่วมสายเลือดของคุณหนูสาม ทั้งสองต่างก็เกิดจากมารดาคนเดียวกัน ไม่รู้ว่าเหตุใดคุณหนูสามกลับรังเกียจคุณหนูใหญ่ถึงเพียงนี้?

"เจ้าออกไปได้แล้ว เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องยุ่งอีก ห้ามเจ้าไปรายงานท่านพ่อด้วย ข้าย่อมมีวิธีจัดการกับนังสารเลวนั่น" มู่อี้เสี่ยนัยน์ตาเป็นประกาย ลอบหัวเราะออกมาอย่างเงียบงัน

'มู่หรูเยว่ เจ้าปฏิเสธที่จะเดินบนเส้นทางที่โรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่กลับยืนกรานที่จะเดินสู่หนทางที่เต็มไปด้วยขวากหนาม ในเมื่อเจ้าเป็นฝ่ายรนหาที่ตายเอง ข้าย่อมช่วยสงเคราะห์เจ้า แต่ขืนปล่อยให้เจ้าตายง่ายๆกก็คงสบายเกินไป....'

หลังจากหลิ่วหวนจากไป มู่อี้เสี่ยก็นำนกหวีดออกมา นี่เป็นของที่ชายหนุ่มผู้หนึ่งมอบให้เป็นสิ่งตอบแทนที่ช่วยชีวิตเขาเอาไว้

ความจริงแล้วมู่อี้เสี่ยไม่รู้ว่านางไปช่วยชีวิตเขาได้อย่างไร วันนั้นนางแค่ผ่านไปยังเรือนด้านหลังของตระกูลมู่ และได้พบกับชายผู้นั้นนอนป่วยอยู่บนเตียงโดยบังเอิญ

เมื่อชายผู้นั้นลืมตาตื่นขึ้นก็ขอบคุณที่นางช่วยชีวิตเขาเอาไว้ เขายังกล่าวอีกว่าหากในวันหน้านางต้องการความช่วยเหลือให้เป่านกหวีดนี้เพื่อเรียกเขา เขายินดีที่จะตอบแทนนางครั้งหนึ่ง

เมื่อสบโอกาสอันดีเช่นนี้ มู่อี้เสี่ยย่อมไม่เสียเวลาอธิบายให้ยุ่งยาก นางรับคำขอบคุณที่ช่วยชีวิตเขาเอาไว้ด้วยความยินดี

---
TL: ตอนที่แปลๆอยู่ เพื่อนก็ให้คำจำกัดความขององค์ชายแอ๊บแบ๊ว ด้วยเพลงท่อนนึง 'อยากจะกลืนกินเธอทั้งตัว ไม่อยากเหลือไว้ให้ใครได้กลิ่น~' นี่ถึงกับลั่น ไปต่อไม่ถูกเลยค่ะ =_=;

ไหนๆก็ไหนๆ เอ๊า เพลงมา >> Youtube << บันเทิงก่อนไปซ้อมหนีไฟต่อ

ปล. เฟิ่งจิงเทียนจะโผล่มาตอนหน้า รอกันหน่อยนะคะ ช่วงนี้หาเวลาอู้ไม่ค่อยได้ ตอนแรกจะแปลคำว่า 妖孽 ในชื่อตอนว่านางมารยา แต่เอ๊ะ~ หล่อนเป็นตัวผู้จะมาแร่ดแข่งกับชะนีในเรื่องนี้ไม่ได้นะ(!?)
posted from Bloggeroid

Last Modified: Monday, November 28, 2016

หมอยาเจ้าเสน่ห์: จอมใจราชาปีศาจ บทที่ 78

บทที่ 78 เทียบเชิญงานชุมนุมโอสถ ตอนที่2

อู๋หวีกระแอมไอออกมา พลางเอ่ยต่อ "ศิษย์ข้า ข้าอยากให้เจ้าเป็นม้ามืดในการประลอง เมื่อถึงเวลาสำคัญเจ้าค่อยแสดงความสามารถให้ตาแก่พวกนั้นตกใจจนหงายหลัง"

เมื่อคิดถึงสีหน้าของตาแก่พวกนั้นยามที่ตกตะลึง อู๋หวีอดไม่ได้หัวเราะออกมา ใครใช้ให้ตาแก่หัวหน้าสมาคมโอสถเอาแต่โอ้อวดหลานชายของตนต่อหน้าเขาเล่า? ไม่ว่าหลานชายของตาแก่นั่นจะมีพรสวรรค์สูงส่งซักแค่ไหน มีหรือจะเทียบกับศิษย์รักของเขาได้?

มู่หรูเยว่สั่นศีรษะอย่างอ่อนใจ การมีอาจารย์ที่ไม่รู้จักทำตัวเป็นผู้ใหญ่ช่างน่าปวดหัวเสียจริง...

"ข้าควรออกเดินทางเมื่อไหร่ดี?"

"เจ้าควรออกเดินทางตั้งแต่วันนี้ ข้าคำนวณแล้วว่าเจ้าน่าจะใช้เวลาเดินทางไปงานชุมนุมประมาณหนึ่งเดือนพอดี หึหึ! ศิษย์ข้า เจ้าต้องทำตัวดีๆเป็นหน้าเป็นตาให้อาจารย์รู้ไหม"

"วันนี้เลยหรือ?" มู่หรูเยว่กำเทียบเชิญในมือ ก่อนจะผงกศรีษะ "ตกลง ข้าจะไปบอกลาอู๋เฉินก่อนค่อยออกเดินทางไปงานชุมนุมโอสถ"

////////

ภายใต้ต้นท้อ กลีบดอกไม้พัดปลิวและร่วงหล่นลงมากับสายลม...

เย่อู๋เฉินยืนอยู่ท่ามกลางลมสายนั้น กำลังจดจ้องบางสิ่งบางอย่าง กลีบดอกไม้ที่ร่วงหล่นปกคลุมอยู่บนไหล่ของเขาให้ความรู้สึกชวนฝัน ราวกับภาพที่ปรากฏตรงหน้านั้นไม่ใช่ความจริง

"อู๋เฉิน"

น้ำเสียงนุ่มนวลดังจากเบื้องหลัง เย่อู๋เฉินพลันหันกลับไป เมื่อได้เห็นเด็กสาวที่อยู่ด้านหลัง ใบหน้าหล่อเหลาก็พลันคลี่ยิ้มชวนสะกดสายตา

"ชายา ท่านมาแล้ว..."

ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่มู่หรูเยว่เริ่มเคยชินกับคำเรียกหาของเขา นางค่อยๆเปิดใจรับความจริงใจของเขาที่มีต่อนาง นับตั้งแต่เขารู้ว่านางอาศัยอยู่ที่นี่ เขาก็ยืนกรานจะอยู่ร่วมกับนาง ถึงขนาดยอมชงน้ำร้อนน้ำชา คอยอุ่นเตียงให้ ไม่เว้นกระทั่งยอมทำนู่นทำนี่ตามคำสั่งของนางราวกับคนโง่งม

"อู๋เฉิน ข้ามาบอกลาเจ้า..." มู่หรูเยว่เงยหน้ามองใบหน้าหล่อเหลาของเขา นี่เป็นครั้งแรกที่นางรู้สึกว่าใบหน้าของเย่อู๋เฉินช่างหล่อเหลาสะดุดตายิ่งนัก

ผิวกายของเขาขาวจัด แต่ไม่ได้ขาวอย่างคนอมโรค แต่เป็นสีขาวนวลราวกับน้ำนม อีกทั้งนัยน์ตาที่กระจ่างใสบริสุทธิ์คู่นั้น ยิ่งทำให้เขาดูมีเสน่ห์สะกดสายตา เปลือกตาของเขาหรุบลงเล็กน้อย จ้องมองนางอย่างน่าสงสารราวกับลูกสุนัขที่ถูกทอดทิ้ง

"ชายาจะไปไหนหรือ? ท่านจะจากไปตลอดกาลเหมือนเสด็จพ่อเสด็จแม่หรือไม่?"

มู่หรูเยว่รู้สึกใจอ่อนยวบ นางไม่อาจทำร้ายจิตใจเขาได้...

"ข้าแค่ออกไปจัดการธุระบางเรื่อง ไม่นานก็กลับมาแล้ว"

เมื่อได้ยินเช่นนั้น เย่อู๋เฉินถอนใจออกมาอย่างโล่งอก ก่อนจะค่อยๆเดินเข้าไปหามู่หรูเยว่ หัวใจของนางพลันเต้นแรงขึ้นกะทันหัน พวกเขายืนอยู่ใกล้กันมากเสียจนรับรู้ได้ถึงลมหายใจของอีกฝ่าย

รูปโฉมของเย่อู๋เฉินช่างสมบูรณ์แบบไร้ที่ติแม้ว่านางจะจ้องมองเขาในระยะประชิด ริมฝีปากที่เม้มหากันเล็กด้วยความน้อยใจของเขาค่อยเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม

"อู๋เฉิน.... อื้อ......"

นางยังไม่ทันได้พูดจบประโยค ริมฝีปากของเขาก็ประทับลงมา

จุมพิตนี้ไม่เหมือนกับการแตะริมฝีปากอย่างผิวเผินเฉกเช่นเดียวกับครั้งก่อนๆ เย่อู๋เฉินมอบจุมพิตให้นางอย่างเงอะงะไม่ประสีประสา มู่หรูเยว่ร่างกายสั่นสะท้านก่อนจะผลักรีบผลักเย่อู๋เฉินออกไป

นางหรี่ตามองใบหน้าหล่อเหลาของเด็กหนุ่มที่บัดนี้เป็นสีแดงเรื่ออย่างครุ่นคิดแต่ไม่เอ่ยคำ สีหน้าของนางในยามนี้ยากที่จะคาดเดาถึงอารมณ์ของนางได้

"ช... ชายา...." เย่อู๋เฉินรู้สึกตื่นตระหนก ดูเหมือนว่าเขาจะทำเกินเลยกับหญิงสาวตรงหน้ามากไปสักหน่อย ยิ่งไปกว่านั้นเขาลืมได้อย่างไรว่านางไม่ใช่หญิงสาวธรรมดาทั่วไป เป็นไปได้หรือไม่ว่านางอาจจะคาดเดาบางสิ่งบางอย่างออก?

"ก่อนหน้านี้ในอุทยานหลวง ข้าเห็นองค์ชายฮวากดนางกำนัลลงกับพื้น จากนั้นเขาก็ทำเช่นนี้..."

เย่อู๋เฉินก้มหน้าลงราวกับสำนึกผิดในสิ่งที่ทำลงไป...
--------
TL: ค้างกันแน่ๆ เค้าก็ค้าง กินกาแฟจนตาค้างงง @_@~
#segafredo@ctw 1แถม1 บ่ายถึงห้าโมงเย็นถึง4ธันวานี้นะนาง ได้ค่าโฆษณากับเค้ามั๊ย กาแฟฟรีซักสองถุงก็ยังดี♡

ปล. รู้สึกว่าควร level up จากสาวใช้ (ในวัง) เป็น นางกำนัล จะแอบย้อนกลับไปแก้ไขบางตอนนะคะ

Last Modified: Sunday, November 27, 2016

หมอยาเจ้าเสน่ห์: จอมใจราชาปีศาจ บทที่77

บทที่ 77 เทียบเชิญงานชุมนุมโอสถ ตอนที่1


หลังจากที่หลี่ลู่กลืนยาชำระไขกระดูกลงท้องไปแล้ว คนอื่นๆก็พากันกลืนลงไปบ้าง ฉับพลันเสียงแตกของกระดูกดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ความเจ็บปวดทรมานทำให้พวกเขาลงไปนอนขดตัวอยู่กับพื้น ส่งเสียงร้องโอดโอย

ทรมาน!

ทรมานเหลือเกิน!

ที่แท้กระบวนการชำระไขกระดูกก็เจ็บปวดทรมานอย่างนี้นี่เอง...

หากคนอื่นๆได้รู้ว่ามู่หรูเยว่เองก็ผ่านกระบวนการชำระไขกระดูกเช่นนี้ไปก่อนหน้า อีกทั้งยังอดทนขบกรามแน่นไม่ส่งเสียงร้องออกมาซักคำ พวกเขาไม่อับอายจนต้องไม่กล้าสู้หน้านางหรอกหรือ?

มู่หรูเยว่จ้องมองพวกชายหนุ่มนอนชักดิ้นชักงออยู่บนพื้น นางเดินจากมาโดยไม่พูดอะไรอีก เมื่อนางเดินมาถึงด้านหน้าของสวน ก็บังเอิญพบกับอู๋หวีที่มาหานางพอดี

“สาวน้อย” อู๋หวีนัยน์ตาเป็นประกาย ขณะที่หัวเราะออกมา “วันนี้ข้ามาหาเจ้าด้วยเรื่องหนึ่ง”

เมื่อเห็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์ของเขา มู่หรูเยว่เลิกคิ้ว รอให้อีกฝ่ายเป็นคนพูดออกมา

“หึหึ ที่จริงเรื่องเป็นแบบนี้” อู๋หวีลูบฝ่ามือ คลี่ยิ้ม พลางเอ่ย “เจ้ารู้เรื่องฐานะของนักปรุงยาในดินแดนนี้หรือไม่? การจะได้เป็นนักปรุงยาที่แท้จริงนั้น แน่นอนว่าต้องได้รับการยอมรับจากงานชุมนุมโอสถเสียก่อน งานชุมนุมนี้จะจัดขึ้นทุกๆห้าปี โชคดีเหลือเกินที่งานชุมนุมครั้งถัดไปจะจัดขึ้นในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า อาจารย์อยากให้เจ้าเข้าร่วมงานชุมนุมในครั้งนี้ หนึ่งเพื่อพิสูจน์ความสามารถของตัวเจ้าเอง และสอง ข้าหวังว่าเจ้าจะได้รับชัยชนะกลับมา”

งานชุมนุมโอสถ ย่อมหมายความตามชื่อของมัน นั่นคืองานชุมนุมของเหล่านักปรุงยา ซึ่งงานชุมนุมนี้มีความสำคัญอบ่างยิ่งยวดกับเหล่านักปรุงยา แต่เนื่องมาจากเงื่อนไขของงานชุมนุมไม่อนุญาตให้บุคคลที่อายุเกินสามสิบปีเข้าร่วมประลอง ดังนั้นจึงเรียกได้ว่านี่เป็นงานประลองความสามารถของคนวัยหนุ่มสาว

เหตุผลหลักที่อู๋หวีต้องการให้นางเข้าร่วมงานชุมนุมโอสถ เนื่องมาจากสถานที่แห่งนี้รวบรวมเหล่าอัจฉริยะมาอยู่ด้วยกัน นับเป็นโอกาสอันดีที่จะให้นางได้เปิดหูเปิดตา อีกทั้งยังได้ยินว่าหลานชายของหัวหน้าสมาคมโอสถเองก็เข้าร่วมประลองในงานชุมนุมโอสถในครั้งนี้ด้วย ได้ยินว่าเด็กหนุ่มผู้นั้นมีพรสวรรค์ยอดเยี่ยมถึงขนาดได้เป็นนักปรุงยาระดับปฐพีขั้นกลางด้วยวัยเพียงสิบเจ็ดปี หากว่ามู่หรูเยว่ไม่ปรากฏตัวขึ้น บางทีอู๋หวีอาจจะชื่นชมพรสวรรค์ของเด็กหนุ่มผู้นั้นไปแล้ว

“งานชุมนุมโอสถงั้นหรือ? ข้าจะเข้าร่วมได้อย่างไร?” นัยน์ตาของมู่หรูเยว่เป็นประกาย เห็นได้ชัดว่านางสนใจงานชุมนุมโอสถครั้งนี้เป็นอย่างยิ่ง

“เรื่องนี้ง่ายมาก ข้าเตรียมเทียบเชิญงานชุมนุมโอสถให้เจ้าเรียบร้อยแล้ว” อู๋หวีกลั้วหัวเราะ ขณะที่นำเทียบเชิญสีทองออกจากเสื้อ เทียบเชิญใบนั้นมีคำว่า ‘งานชุมนุมโอสถ’ เปล่งประกายงดงามสะดุดตา “นี่คือเทียบเชิญงานชุมนุมโอสถที่ข้านำมาจากเทียนหยวน ถึงแม้ว่างานชุมนุมโอสถจะส่งเทียบเชิญมาให้ข้าเมื่อครึ่งปีก่อน แต่ตอนนั้นข้ายังไม่มีลูกศิษย์จึงได้ทำหายไป ดังนั้น เสียดายที่เจ้าได้แต่ใช้เทียบเชิญของเทียนหยวนเพื่อเข้าร่วมงานชุมนุมโอสถนั่นแทน อีกทั้งข้ายังช่วยหาสัญลักษณ์ยืนยันฐานะนักปรุงยาของเจ้าด้วย”

เมื่อพูดจบอู๋หวีก็นำป้ายสัญลักษณ์ออกมา ป้ายสัญลักษณ์นี้มีรูปร่างเหมือนหม้อปรุงยาสีเทาใบหนึ่ง ด้านล่างมีแถบยาวสองแถบที่แสดงถึงลำดับนักปรุงยาชั้นกลาง

“นักปรุงยาทุกคนสามารถไปทดสอบระดับความสามารถของตนที่โรงโอสถได้ หลังจากนั้นทางโรงโอสถจะส่งสัญลักษณ์ยืนยันความสามารถของนักปรุงยากลับมาให้ ในอีกนัยหนึ่งก็คือใครก็ตามที่มีสัญลักษณ์ของนักปรุงยา ต่างก็ได้รับการยอมรับจากคนทั่วทั้งดินแดน เครื่องหมายสัญลักษณ์สีเทาที่ข้ามอบให้เจ้านั้นหมายความว่าเจ้าอยู่ในระดับสามัญชั้นกลาง”

สัญลักษณ์สีเทานั้นแสดงถึงระดับสามัญ สีเขียวแสดงถึงระดับปฐพี สีฟ้าแสดงถึงระดับโลกา สีขาวแสดงถึงระดับสวรรค์ และสีทองแสดงถึงระดับเซียน ส่วนแถบยาวด้านล่างนั้นแสดงถึงลำดับชั้นของคนผู้นั้น ยกตัวอย่างเช่น สัญลักษณ์สีเทาพร้อมกับแถบหนึ่งขีด แสดงถึง นักปรุงยาระดับสามัญชั้นต้น แถบยาวสองขีดหมายถึงชั้นกลาง แถบยาวสามขีดหมายถึงชั้นสูง และแถบยาวสี่ขีดหมายถึงชั้นสูงสุด

“ป้ายระดับสามัญชั้นกลาง?” มู่หรูเยว่จ้องมองอู๋หวีอย่างแปลกใจ

“ถูกต้อง” อู๋หวีพยักหน้า พลางคลี่ยิ้ม “หากข้าให้เจ้าพกป้ายสัญลักษณ์ระดับปฐพีชั้นกลางนั่นจะทำให้สะดุดตาเกินไป ด้วยอายุระดับเจ้าการที่จะเลื่อนถึงระดับนั้นแทบเป็นไปไม่ได้ หากเจ้าพกป้ายสัญลักษณ์นั้นไปผู้คนคงได้แตกตื่นกันหมด ขนาดหลานชายของตาแก่หัวหน้างานชุมนุมโอสถเองยังสามารถเลื่อนสู่ระดับปฐพีชั้นกลางได้ตอนอายุสิบเจ็ดปี เฮ้อ... ยังห่างไกลยิ่งนัก ”

-----------------
TL: จริงๆตั้งใจจะอัพพร้อมกัน 2 ตอนพรุ่งนี้ แต่เพิ่งเห็นอีเมล์งานเข้าว่าที่ทำโอฟรีไปเมื่อคืนวันศุกร์คือลูกค้าส่งไฟล์มาผิด โอยยย อาจจะไม่ว่างแปล เลยชิงอัพไว้ล่วงหน้าก่อนตอนนึง (หากมีเวลาจะแปลเพิ่มอีกตอนพรุ่งนี้ค่ะ) ตอนนี้รู้สึกแปลเองงงเอง ช่วงระดับชั้นของการปรุงยานี่ศัพท์งงมาก ระดับที่ผู้เขียนให้มาดันไม่ตรงกับ #ตอนที่63 ด้วยเลยขอมโนให้เป็นระดับเดียวกันนะคะ ไม่งั้นคงอ่านแล้วแปลกๆ

หม้อปรุงยา หรือ ติง หากเพื่อนๆนึกไม่ออกให้ไปขุดจอมโจรบันทึกสุสานมาอ่านค่ะ #ผิด ล้อเล่น... เอารูปติงมาเป็นตัวอย่างให้ดูเล่นๆค่ะ หน้าตาจะคล้ายๆแบบนี้ ซึ่งในเรื่องก็ไม่ได้บอกเหมือนกันว่าไซส์ขนาดไหน จะเล็กเท่าฝ่ามือ หรือยิ่งใหญ่ ไฮโซว โอ้โหว ขนาดไหน สุดแท้แต่จะจินตนาการ (ในเรื่องจอมโจรฯนี่มีไซส์บิ๊กเบิ้มขนาดเอาศพยัดลงไปได้ด้วยนะ บรื๋อ...)



ปล. อยู่ดีๆเมื่อเช้าก็มีเพื่อนๆจาก FB โผล่มาเต็มเลยค่ะ ตกใจมาก เราไม่ได้ไปสร้างดราม่าอะไรไว้ที่ไหนใช่ไหม เก๊ายังอยากอยู่เงียบๆนะ T^T

ปล2 คือถ้ามีเวลาจะพยายามมาลงต่อเนื่องค่ะ คือตอนนี้เจอปัญหาแปลๆอยู่เกิดอยากอ่านตอนต่อไปกะทันหัน แล้วก็กดอ่านตอนต่อไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ สุดท้ายไม่ได้แปล *โดนรีดตบ* เหตุการณ์นี้เป็นบ่อยมากค่ะ เคยพยายามแปลนิยายหลายเรื่องแต่ตกม้าตายเพราะแปลๆไปอยากอ่านต่อเอง สุดท้ายอ่านไปไกลลิบ ติดลมบน จนขี้เกียจย้อนกลับมาแปล น่าจะเคยเป็นกันบ้างแหละ กุซิกๆ ยังมาแปลต่อได้เรื่อยๆเพราะกำลังใจเพื่อนๆจริงๆ ไม่คิดว่าตัวเองจะขยัน (อู้) ได้ขนาดนี้เลย + ปกติที่ทำงานจะยุ่งช่วงสิ้นเดือนเป็นปกติ ยิ่งสิ้นปีนี่ไม่ต้องพูดถึง ขนาดจะลายังต้องหาคนแท็กทีมแลกเวรกันก่อน ไม่งั้นห้ามป่วย ห้ามตาย ประจวบกับชนสอบไฟนอลช่วงธันวาด้วย โปรเจคก็ต้องส่ง เดธไลน์กลางเดือนหน้าแต่ยังไม่ได้เริ่มเขียนโค้ดซักบรรทัด ใจเย็นนะเพื่อนๆถ้ายังไม่มีใครหน้ามืดซื้อลิขสิทธิ์ไป ก็จะพยายามหาเวลามาลงต่อเรื่อยๆค่ะ

แต่ส่วนตัวแล้ว รู้สึกว่าเรื่องนี้ ถึงนางเอกจะเทพทรู+พระเอกจะแอ๊บแบ๊วน่าถีบแค่ไหน ก็ยังมีเนื้อหาส่วนที่ทำร้ายผู้หญิงซึ่งต่อต้านวัฒนธรรมไทยไปนิดนึง อ่านเองยังไม่ค่อยชอบเลย ปกติจะอ่านข้ามๆไป แถมไม่ได้มีแค่บทสองบทด้วย ถึงจะไม่ได้ฮาร์ดคอร์ 18+ แต่ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะมีคนซื้อเข้ามาไหม จริงๆสนับสนุนให้มีลิขสิทธิ์ค่ะ มีอีกหลายเรื่องเลยที่อยากให้มี สนพ.นำเข้ามา นักเขียนตัวจริงจะได้รับผลประโยชน์ด้วย คนอ่านจะได้มีหนังสืองามๆไว้สะสมด้วย (ช้ำใจแค่ไหนตอนซื้อทุกเล่ม 15% แล้วมารู้ทีหลังว่านายอินทร์ลด 25% ถามใจตัวเองดู)

ปล3 กติกาเดิม หากเจอคำผิดช่วยสะกิดด้วยค่ะ ฮือออออ ส่วนใหญ่จะพิมพ์กับแทบเล็ต เพราะที่ทำงานบล็อกเว็ปเอเวอรี่ติงจิงกาเบลค่ะ ซึ่ง auto correction นี่เชื่อถือไม่ได้เลย อย่าง การ นี่ชอบโดนแก้เป็น การณ์ ให้ประจำ เพลียกับมัน

ปล4 ขอซาวด์เสียงเล่นๆได้ไหมคะ? ปกติแล้วเพื่อนๆอยากให้ลงทีละ 2-3 ตอน หรือลงทีละตอนทุกวันคะ(?) คือจริงๆลงวันละตอนก็พอได้นะแต่มันจะค้างกว่าเดิมอีก เพื่อนๆที่หลงกลอ่านมาถึงตอนนี้แล้วน่าจะรู้ว่าแต่ละตอนสั้นมาก เคยอ่านคอมเมนต์ของนักเขียนอยู่บทนึง (จำไม่ได้ว่าบทไหน) คือนักเขียนเขาทำงานประจำ มีเวลามาอัพเดตแค่ช่วงกลางคืน แต่ละบทก็เลยค่อนข้างสั้นแบบนี้น่ะค่ะ (ประมาณ 1.5 หน้า) เพิ่งรู้ตัวว่าเราพล่ามจนจะเยอะกว่าเนื้อหาที่แปลอีก ป่ะๆแยกย้ายไปนอนหลับพักผ่อน จุ๊บๆ ^^

Last Modified: Saturday, November 26, 2016

หมอยาเจ้าเสน่ห์: จอมใจราชาปีศาจ บทที่ 75-76

บทที่ 75 แผนการของเย่เทียนเฟิง


เย่อู๋เฉินหันมองชายชุดดำ ใบหน้าที่หล่อเหลาราวกับเทพบุตรนั้นไม่แสดงอารมณ์ใดๆทั้งสิ้น แต่ชายชุดดำก็ยังรับรู้ได้ว่านายท่านของเขาไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง

“นางจะแต่งงานกับเรา” ขณะที่พูดใบหน้าของเขาก็หันไปทางอื่นเรียบร้อยแล้ว นัยน์ตาของเขาฉายแววรื่นรมย์ “ไม่ช้าก็เร็็วนางต้องเป็นชายาของเรา เราไม่เห็นจำเป็นต้องรีบร้อน จนกว่าพวกเราจะแต่งงานกันเรียบร้อย เราไม่มีทางกระทำเรื่องแบบนั้นต่อนางเป็นอันขาด”

แต่ได้หยอกเย้านางเล่นก็สนุกดีนี่นา....

เย่อู๋เฉินกลั้วหัวเราะ เด็กสาวผู้นั้นไม่เกรงกลัวต่อความเจ็บปวดยามที่ขำระไขกระดูก เขายังคิดว่านางนิสัยไม่คล้ายผู้หญิงสักเท่าไหร่ คิดไม่ถึงว่านางจะเขินอายถึงขนาดวิ่งหนีไป

เย่อู๋เฉินไม่รู้สึกตัวด้วยซ้ำว่า รอยยิ้มของเขาพลันอ่อนโยนลงยามที่เขานึกถึงใบหน้าเขินอายของมู่หรูเยว่....

ภายในวังหลวง ฮ่องเต้สือเยว่รู้สึกปวดหัวขึ้นมาขณะที่จ้องมองหลานชาย เขาคลึงขมับตัวเองพลางเอ่ย “”เฟิงเอ๋อร์ เจ้าเป็นคนต้องการจะยกเลิกการแต่งงานกับเด็กสาว มู่หรูเยว่ ผู้นั้นเอง เหตุใดวันนี้จึงยืนกรานที่จะแต่งงานกัยนางเล่า? เด็กสาวผู้นั้นดื้อดึงยิ่งนัก ไม่ว่าข้าหว่านล้อมนางอย่างไร นางก็ไม่ยอมเปลี่ยนใจ”

“เสด็จปู่ ก่อนหน้านี้หลานไม่รู้ว่ามู่หรูเยว่จะมีความสามารถถึงเพียงนี้ ในเมื่อเธอเป็นอัจฉริยะ หากนางแต่งงานกับหลาน ย่อมกลายเป็นกำลังสำคัญของเสด็จปู่อย่างแน่นอน”

“แต่ ข้าออกราชโองการให้นางแต่งงานกับกุ่ยหวังไปแล้ว...”

ฮ่องเต้สือเยว่ขมวดคิ้วอย่างลำบากใจ เจานึกอยากทำเช่นนั้น อย่างไรก็ตามเขาเคยกลับคำพูดตัวเองมาแล้วครั้งหนึ่ง หากทำเช่นนั้นอีกครั้ง ผู้อื่นไม่ล้อเลียนเขาแย่หรือ?

เย่เทียนเฟิงคลี่ยิ้ม พลางเอ่ยอย่างมั่นใจ “เสด็จปู่ ท่านแค่ออกราชโองการคร่าวๆ ยังไม่ได้ระบุวันแต่งงานเสียหน่อย ครั้งนี้หลานไม่ได้ขอร้องให้ท่านยกเลิกราชโองการ หลานเพียงหวังว่าเสด็จปู่จะเลื่อนการแต่งงานออกไปซักระยะหนึ่ง หลานมั่นใจว่าสามารถทำให้มู่หรูเยว่กลับมารักหลานได้ เมื่อถึงตอนนั้นนางจะเป็นผู้ขอล้มเลิกการแต่งงานระหว่างนางกับกุ่ยหวัง เสด็จปู่เพียงแค่ตอบตกลง ผู้คนย่อมไม่วิพากษ์วิจารณ์ท่าน ตรงกันข้ามกลับชื่นชมที่เสด็จปู่ส่งเสริมให้คู่รักได้ครองคู่กัน”

ฮ่องเต้สือเยว่นัยน์ตาเป็นประกาย “เป็นแผนการที่เยี่ยมมาก หากให้มู่หรูเยว่ตบแต่งกับกุ่ยหวังย่อมเสียประโยชน์เปล่าๆ ตกลง ข้าจะเลื่อนการแต่งงานของพวกเขาซักระยะหนึ่ง เจ้าต้องใช้โอกาสนี้ทำให้นางกลับมารักเจ้าให้ได้”

“หลานขอขอบพระทัยเสด็จปู่ล่วงหน้า” เย่เทียนเฟิงคลี่ยิ้ม เขามั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าสามารถใช้โอกาสนี้ทำให้มู่หรูเยว่กลับมารักเขาได้อย่างแน่นอน

เด็กสาวผู้นั้นคอยไล่ตามเขาตั้งแต่ยังเด็ก ไม่นานนี้เขาเพิ่งทำร้ายจิตใจนาง นางจึงไม่ยอมรับเขา เขาเชื่อว่าเวลาจะช่วยเยียวยาความโกรธเคืองของนาง ตราบใดที่เขาแสดงความจริงใจมากพอ นางย่อมไม่ปฏิเสธเขาอีกต่อไป

อย่างไรก็ตาม เย่เทียนเฟิงคาดไม่คิดว่าบทสนทนาของเขากับฮ่องเต้นั้นจะถูกนางกำนัลผู้หนึ่งของจี้หรูหยาได้ยินเข้า?

นางกำนัลผู้นี้เคยรับคำสั่งจากจี้หรูหยาว่าทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับมู่หรูเยว่ ไม่ว่าจะใหญ่หรือเล็กก็ต้องรายงานต่อนาง ยิ่งไปกว่านั้นจี้หรูหยาเคยช่วยชีวิตนางกำนัลผู้นี้เอาไว้ ดังนั้นเมื่อได้ยินบนสนทนาของพวกเขาก็รีบร้อนไปรายงานต่อจี้หรูหยาทันที

เวลานั้นราชโองการยังไม่ทันได้ประกาศออกไป จี้หรูหยาก็ส่งคนออกไปแจ้งข่าวให้มู่หรูเยว่ทราบ ประจวบเหมาะกับอู๋หวีแวะมาหามู่หรูเยว่พอดี ดังนั้นนิสัยชอบปกป้องของท่านอาจารย์อู๋หวีจึงประทุออกมาทันที

“ว่าไงนะ? เจ้าสารเลวเย่เทียนเฟิงช่างขวัญกล้ายิ่งนัก! ถึงกับกล้าคิดหมายตาศิษย์ของข้า ช่างไม่เจียมตัวเองเสียเลย เจ้านั่นมีส่วนไหนคู่ควรแต่งงานกับศิษย์ของข้ากัน! ไม่ได้ เรื่องนี้ปล่อยไว้ไม่ได้ ข้าต้องรีบไปหาเจ้าบ้าเทียนหยวนเดี๋ยวนี้!”

บทที่ 76 เจ้าไม่คู่ควรกับนาง


อู๋หวีที่กำลังโกรธจัดไม่ฟังสิ่งที่มู่หรูเยว่ต้องการจะบอกด้วยซ้ำ เขาแค่นเสียงออกมาครั้งหนึ่งแล้วก็จากไปจัดการกับเทียนหยวน เทียนหยวนผู้น่าสงสารย่อมต้องรับชะตากรรมอีกครั้งหนึ่ง ครั้งนี้เป็นเพราะลูกศิกษย์ของเขาคิดหมายตาคนที่ไม่ควรเข้า

แน่นอนว่า ผลสุดท้ายแล้วเป็นเขาที่ถูกอู๋หวีทุบตีอย่างทารุณ...

บริเวณสวนที่เงียบสงบภายในตำหนักจิ่ง เย่เทียนเฟิงกำลังผ่อนคลายกับการอาบแสงแดด เขานึกจินตนาการถึงยามที่มู่หรูเยว่เต็มใจเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดของเขา อดไม่ได้คลี่ยิ้มออกมา

ในตอนนั้นเอง เงาร่างของใครคนหนึ่งพุ่งตรงเข้ามาอย่างรวดเร็วทำให้เย่เทียนเฟิงรู้สึกตื่นตระหนก แต่เมื่อหันไปมองว่าผู้ที่กล้าบุกรุกเข้ามาในตำหนักจิ่งนั้นเป็นใคร เขากำลังจะเอ่ยปากถาม แต่แล้วก็ชะงักเพราะเห็นหน้าถมึงทึงของอีกฝ่าย

เย่เทียนเฟิงรู้สึกใจคอไม่ดี หรือว่าเพราะเขากักขังถิงเอ๋อร์เอาไว้ อาจารย์จึงมาจัดการเรื่องนี้กับเขาด้วยตัวเอง?

“ท่านอาจารย์ ท่านมาทำไมหรือ? หากท่านต้องการตามถิงเอ๋อร์กลับไป ท่านแค่ส่งใครสักคนมาบอกก็ได้ ไม่เห็นจำเป็นต้องมาด้วยตัวเองเลย ข้าจะให้นางกลับไปกับท่านเดี๋ยวนี้”

จนถึงตอนนี้ เย่เทียนเฟิงยังเข้าใจว่า เทียนหยวนนึกสนใจในพรสวรรค์ของมู่ถิงเอ๋อร์ จึงได้รับนางเป็นผู้ติดตาม

“หญิงผู้นั้นให้อยู่กับเจ้าชั่วคราว ซักหลายวันค่อยให้นางกลับมา” เทียนหยวนส่ายศีรษะ “ครั้งนี้ข้ามาหาเจ้าด้วยเรื่องอื่น ข้าได้ยินว่าเจ้าต้องการแต่งงานกับมู่หรูเยว่ ตระกูลมู่?”

“ใช่แล้ว อาจารย์ มู่หรูเยว่มีพรสวรรค์เยี่ยมยอด นางคู่ควรจะเป็นคู่ครองของข้า” เย่เทียนเฟิงไม่สามารถคาดเดาจุดประสงค์ของเทียนหยวนออก นึกสงสัยว่าอีกฝ่ายเริ่มสนใจเรื่องการแต่งงานของเขาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?

“ศิษย์ข้า ล้มเลิกความตั้งใจซะ” เทียนหยวนถอนใจออกมา “เจ้าไม่คู่ควรกับนาง ตัดใจเรื่องนางซะ ไม่อย่างนั้นเจ้าต้องพบหายนะที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เมื่อถึงตอนนั้นแม้แต่อาจารย์ก็ปกป้องเจ้าไม่ได้”

เย่เทียนเฟิงจ้องมองเทียนหยวนอย่างงงงวย อาจารย์หมายความว่าอย่างไร? หรือว่าอาจารย์ของมู่หรูเยว่นั้นแข็งแกร่งกว่าอาจารย์ของเขา?

เป็นไปได้อย่างไรกัน?

“แต่ว่า อาจารย์...”

“พอแล้ว!” เทียนหยวนเอ่ยขัดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “หากเจ้ายืนกรานจะยุ่งกับนางให้ได้ จากนี้ต่อไปเจ้าไม่ใช่ลูกศิษย์ของข้าอีก ข้ายังอยากมีชีวิตต่อไป ไม่อยากมาพัวพันกับเรื่องนี้อีก”

ทันทีที่กล่าวจบ เขาก็ไม่สนอาการตกตะลึงของเย่เทียนเฟิงอีก เขาหมุนตัวและเดินจากไป

////////////////

“หลี่ลู่ นี่คือผู้กล้าที่เจ้าหามาหรือ?” ภายในเรือนมู่ มู่หรูเยว่จ้องมองชายที่ยืนอยู่ตรงหน้า พยางพยักหน้าเล็กน้อย “ไม่เลว นี่คือยาชำระไขกระดูกที่ข้ารับปากเจ้าไว้ เอาไปทานซะ”

ว่ากันตามตรงแล้วภายในดินแดนแห่งนี้ คนที่ได้รับการยอมรับที่สุดไม่ใช่ฮ่องเต้ ไม่ใช่เจ้าสำนัก แต่เป็นนักปรุงยาที่สามารถปรุงยาวิเศษเช่นนี้ออกมาได้

นักปรุงยาที่มีเก่งกาจ ไม่ว่าจะเดินทางไปแคว้นหรือสำนักย่อมได้รับการต้อนรับ นั่นเพราะยาวิเศษเช่นนี้เป็นสิ่งที่ประเมินค่าไม่ได้

เมื่อทุกคนได้ยินอย่างชัดแจ้งว่าสามารถรับยาชำระไขกระดูกมาทานได้ นัยน์ตาเขาพวกเขาก็ฉายแววตื่นเต้น จ้องมองมู่หรูเยว่อย่างตื้นตันใจ

หากไม่เป็นเพราะนาง เกรงว่าชาตินี้ทั้งชาติพวกเขาคงไม่มีโอกาสได้แตะต้องยาชนิดนี้

ชายเลือดร้อนที่ได้รับยาไปแล้วถึงกับกำยาเอาไว้ด้วยมือสั่นเทา นี่ไม่ใช่ยาธรรมดา ไม่ใช่ยาขั้นต้นแต่เป็นถึงยาชำระไขกระดูกระดับปฐพีขั้นกลาง

“นายหญิง ท่านดีต่อพวกเราเหลือเกิน” หลี่ลู่รู้สึกปลาบปลื้มจนต้องเช็ดน้ำตา “ก่อนหน้านี้พ่อของข้าไม่พอใจทุบตีข้า เพราะข้าทำตัวเอาแต่ใจมาเป็นคนรับใช้ให้ผู้อื่น แต่การที่ข้าได้ติดตามนายหญิงนับเป็นความโชคดีอย่างที่สุด ข้าไม่มีทางเสียใจเป็นอันขาด”

เมื่อกล่าวเช่นนั้นแล้วหลี่ลู่ก็กลืนยาลงไป...

--------------
TL: วายยูอาบแดด ยูกลัวไม่ดำหราาา (สงสัยจริง)

ปล. ช่วงนี้ติดทั้งงานราษฏร์ งานหลวงเลย โอทีก็ต้องทำ สอบก็ต้องสอบ วันหยุดเหลือก็ต้องลาไปเที่ยว โอ้ย จนกว่าจะหมดสิ้นเดือน คงผลุบๆโผล่ๆหน่อยนะคะ *ตาย* 

Last Modified: Wednesday, November 23, 2016

หมอยาเจ้าเสน่ห์: จอมใจราชาปีศาจ บทที่ 73-74

บทที่ 73 ยาชำระไขกระดูก ตอนที่3


"อู๋เฉิน เจ้าปล่อยข้าได้แล้ว เดี๋ยวก็เปื้อนหมดหรอก" มู่หรูเยว่ก้มลงมองคราบสีดำที่ขับออกมาจากร่างของนาง พลางขมวดคิ้ว

ยาชำระไขกระดูกไม่เพียงเปลี่ยนสภาพร่างกายให้แข็งแกร่งขึ้น แต่ยังช่วยขับดันสิ่งไม่บริสุทธิ์ในร่างออกไปด้วย ดังนั้นหลังจากเริ่มกินยาสิ่งไม่บริสุทธิ์สีดำในร่างของมู่หรูเยว่ก็ถูกขับออกมาไม่หยุด อีกทั้งยังส่งกลิ่นที่ยากจะทานทน

ลำพังมู่หรูเยว่เองยังแทบทนไม่ไหว แล้วเย่อู๋เฉินจะทนได้อย่างไร?

อย่างไรก็ตาม เย่อู๋เฉินไม่ได้แสดงท่าทีรังเกียจ เขายังคงยืดกอดเด็กสาวตรงหน้าอย่างแนบแน่น ใบหน้างดงามเผยรอยยิ้มกระจ่างใส

"ชายา ขอเพียงได้อยู่กับชายา ข้าไม่สนใจว่าจะเปื้อนหรอก"

ดูจากบุคลิกของเด็กหนุ่มแล้วเห็นได้ชัดว่าเขาดูไร้เดียงสาไม่สมวัย แต่ไม่รู้ทำไมคำพูดเมื่อครู่กับกระแทกจิตใจของมู่หรูเยว่อย่างจัง ทำให้หัวใจของนางเต้นรัว...

เหยียนจิ้นกรอกตา 'หากพวกเจ้าคิดจะพร่ำพลอดคำหวานใส่กันก็ควรจะหาที่เงียบๆส่วนตัวสักหน่อย ไม่เห็นหรือว่าข้ายังอยู่ที่นี่?'

ในยามที่ยาชำระไขกระดูกออกฤทธิ์เข้าสู่ร่างแล้ว มู่หรูเยว่เริ่มเข้าใจถึงแก่นแท้ของการฝึกฝนอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน นางดึงคราบสกปรกที่เปรอะเปื้อนไปทั้งร่างไม่ต่างอะไรกับเย่อู๋เฉิน พอได้เห็นเขาอยู่ในสภาพเช่นนี้แล้วอดไม่ได้หัวเราะออกมา

เย่อู๋เฉินในยามนี้ดูตกตะลึง จ้องมองมาที่นางอย่างโง่งม

"อู๋เฉิน เจ้ามองอะไรอยู่หรือ?" มู่หรูเยว่แตะใบหน้าของตน จ้องมองอย่างประหลาดใจ

"ชายายิ้มแล้วงดงามเหลือเกิน" เย่อู๋เฉินเอ่ยพลางก้มหน้าอย่างขัดเขิน เพียงเหลือบมองมู่หรูเยว่ด้วยหา "ไม่รู้ทำไมก่อนหน้านี้ ข้ารู้สึกว่ารอยยิ้มของชายาราวกับใส่หน้ากาก แต่รอยยิ้มของชายาเมื่อครู่ช่างงดงามเหลือเกิน"

เดิมทีรอยยิ้มของนางนั้นให้ความรู้สึกเยือกเย็นจนน่าขนลุก

แต่ตอนนี้นางแค่คลี่ยิ้มออกมาคราหนึ่งก็ควรค่าแก่การใช้คำว่างามล่มเมืองมาบรรยาย...

"หากอู๋เฉินชอบ ต่อไปข้าจะยิ้มให้อู๋เฉินบ่อยๆ" มู่หรูเยว่คลี่ยิ้ม "แต่ตอนนี้พวกเราต้องไปอาบน้ำก่อน"

/////////

ภายในบ่อน้ำร้อนขนาดใหญ่ มู่หรูเยว่แช่กายอยู่ในน้ำ ปล่อยให้น้ำอุ่นช่วยชำระคราบสกปรกของร่างกาย บางทีอุณหภูมิของน้ำอุ่นและสบายเกินไป นางจึงคลายความระแวดระวังลง

"สาวน้อย ข้ามีเรื่องหนึ่งต้องบอกเจ้า"

ในยามที่มู่หรูเยว่กำลังผ่อนคลายอย่างสบายอารมณ์ น้ำเสียงทรงอำนาจก็ดังขึ้น นางรีบเปิดเปลือกตาขึ้นก็สบกับดวงตาสีดำสนิทที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มคู่หนึ่ง

"ออกไปซะ!"

มู่หรูเยว่จับเหยียนจิ้นโยนออกไปทางประตู เอ่ยอย่างโกรธจัด "จากนี้ไปห้ามเข้ามาตอนที่ข้ากำลังอาบน้ำโดยเด็ดขาด!"

โครม!

ร่างของเหยียนจิ้นถูกโยนออกมากระแทกกับต้นไม้ ร่วงลงมาอย่างน่าอนาถ เขาจับจ้องประตูห้องอาบน้ำด้วยความขุ่นเคือง ในเผ่าพันธุ์สัตว์อสูร ทั้งชายและหญิงต่างก็อาบน้ำร่วมกันได้

ทำไมพวกมนุษย์ต้องทำให้ยุ่งยากด้วย?

ช่างเถอะ เรื่องนั้นค่อยเก็บไว้ก่อน ยังไม่ต้องบอกนางก็แล้วกัน

มู่หรูเยว่เพิ่งจับเหยียนจิ้นโยนออกไปยังไม่ทันได้พักหายใจ ประตูก็ถูกเปิดออกอีกครั้ง เมื่อมู่หรูเยว่หันไปมองก็เห็นเย่อู๋เฉินปรากฏสู่สายตา

ต้องยอมรับว่าเรือนร่างของเด็กหนุ่มผู้นี้ช่างงดงามเหลือเกิน ผิวของเขาขาวจัด นุ่มนวล ราวกับเปล่งประกายได้ หากไม่มีรอยแผลเป็นที่หน้าอก แน่นอนว่าเรือนร่างของเขาต้องงดงามอย่างไร้ที่เปรียบ

หลังจากได้เห็นเย่อู๋เฉินในยามนี้ จู่ๆเสียงระเบิดก็ดังก้องในหัว แก้มของนางเปลี่ยนเป็นสีแดงจัดจนถึงใบหู สมองแทบจะหยุดทำงานกะทันหัน....

เย่อู๋เฉิน เขา... เหตุใดจึงไม่ใส่เสื้อผ้าเข้ามาเล่า!?
___________
และแล้วท่านผู้เฒ่าก็ถูกทอดทิ้ง (รึ เขวี้ยงดี) ด้วยประการฉะนี้ ความลับขององค์ชายสายแอ๊บก็ยังคงเป็นความลับต่อไป...

ปล. ปกติแล้วเพื่อนๆจะใช้ คำอะไรมาบรรยาย ผิวขาวออร่า ขาวกลูต้า บลาๆกันหรอคะ? นี่ระรานเพื่อนยังไม่พอ มาระรานรีดเดอร์ต่ออีก ฮ่าๆๆๆ

ปล2. โอเค รออิ๊งแล้วก็ยังเก๊กซิมกับ '感到前所未有的通彻' ไม่ต่างจากเดิม... โดยความหมายมันน่าจะแนวๆเข้าถึงแก่นแท้ มั้งคะ ฮาๆ...

ปล3. ห้องอาบน้ำ/อ่างน้ำ/บ่อน้ำ โดยตัวศัพท์แล้วเหมือนเป็นออนเซ็น เลยเลือกใช้คำว่าบ่อแทนนะคะ... บ้านนางเอกนี่ไฮโซจุง


บทที่ 74 ความคลุมเครือ


"เย่อู๋เฉิน!" มู่หรูเยว่เพิ่งได้สติ นางเอ่ยอย่างเข่นเขี้ยว "ออกไปเดี๋ยวนี้!"

"แต่...." ใบหน้าหล่อเหลาของเย่อู๋เฉินดูเต็มไปด้วยความสำนึกผิด นัยน์ตาปริ่มน้ำจับจ้องอยู่ที่มู่หรูเยว่ "ข้าอยากให้ชายาช่วยอาบน้ำให้ข้า"

ไม่รู้ว่าด้วยเหตุใด เมื่อจ้องมองเย่อู๋เฉินในยามนี้แล้ว นางรู้สึกราวกับเห็นลูกสุนัขตัวน้อยๆกำลังกระดิกหางเรียกร้องความสงสาร ไม่อาจใจแข็งขับไล่เขาออกไปได้

"ชายา..." นัยน์ตาใสซื่อมีเสน่ห์ของเย่อู๋เฉินจ้องมองไปที่มู่หรูเยว่อย่างน้อยอกน้อยใจ "พวกเราผ่านคืนเข้าหอ กลายเป็นสามีภรรยากันเรียบร้อยแล้ว ข้าขอให้เสด็จลุงออกราชโองการให้เราแต่งงานกันดีหรือไม่?"

"ข เข้าหอ...?" มู่หรูเยว่แทบสำลักน้ำลาย นางกระแอมไอ พลางเอ่ย "อู๋เฉิน เจ้ารู้ความหมายของการเข้าหอหรือ?"

"ใช่แล้ว" เย่อู๋เฉินหัวเราะออกมา รอยยิ้มของเขาดูเจิดจ้าราวกับแสงตะวัน รอยยิ้มนั้นทำให้ผู้คนตกตะลึงไปชั่วขณะ "แม่นมเป็นคนบอกข้า นางบอกว่าสามีภรรยานอนร่วมเตียงกันในคืนวันแต่งงาน จากนั้นเจ้าบ่าวต้องทับบนร่างของเจ้าสาว นั่นเรียกว่าการเข้าหอ วันนั้นข้าแอบเข้าห้องของชายา อีกทั้งยังทับอยู่บนร่างของชายาด้วย ดังนั้นพวกเราเข้าหอกันเรียบร้อยแล้ว"

มู่หรูเยว่รู้สึกตกตะลึงจนพูดไม่ออก นี่.... นี่ก็สามารถเรียกว่าเข้าหอได้หรอกหรือ?

"แม่นมยังบอกอีกว่า หลังผ่านคืนเข้าหอแล้วชายาจะตั้งท้อง จากนั้นชายาจะให้กำเนิดลูกของข้า" เย่อู๋เฉินราวกับไม่รู้ว่าเวลานี้หัวใจของมู่หรูเยว่กำลังตีกันยุ่งเหยิง เขาจ้องมองหน้าท้องของนางอย่างสงสัย "ทำไมเพียงแค่ฝ่ายชายนอนทับ ผู้หญิงก็ท้องได้? ทารกเกิดมาได้อย่างไรหรือ?"

ในยามนี้ มู่หรูเยว่ราวกับกลายเป็นคนโง่งม นางยังเป็นหญิงบริสุทธิ์อยู่ จะไปตั้งท้องได้อย่างไร? เรื่องทารกเกิดมาจากไหนนั้น นางควรอธิบายอย่างไรดี?

เย่อู๋เฉินต้องการอาบน้ำร่วมกับมู่หรูเยว่ ไม่ทันระวังสะดุดล้มลื่นลงมาในบ่อที่มู่หรูเยว่กำลังแช่น้ำอยู่ ร่างของเขากดร่างของมู่หรูเยว่ลงไปด้านล่าง

ร่างของคนทั้งสองแนบชิดกันมากเสียจนรับรู้ถึงลมหายใจของกันและกัน

มู่หรูเยว่ใบหน้าเป็นสีแดงจัดราวกับลูกตำลึง หัวใจเต้นรัวราวกับลูกกวางตัวน้อยๆ นางรีบสะกดความรู้สึกที่คลุมเครือนั้น ผลักร่างเย่อู๋เฉินออกห่าง

เสียงดังวูบหนึ่ง มู่หรูเยว่กระโจนออกจากบ่อน้ำ ไม่พูดไม่จา รีบร้อนสวมเสื้อผ้าแล้วผลุนผลันออกจากห้องไป เห็นเงาร่างของนางหนีหายไปเช่นนี้แล้ว เย่อู๋เฉินที่ยังอยู่ในบ่อน้ำอดไม่ได้หัวเราะออกมา

หากมู่หรูเยว่มาเห็นเขาในยามนี้ จะยังเชื่อว่าเขาเป็นแค่คนโง่ที่มีจิตใจเป็นเด็กอยู่หรือไม่?

รูปโฉมของเขายังคงสง่างามขนาดทำให้โลกทั้งใบดูหม่นหมอง หากแต่นัยน์ตาของเขาหาได้มีความใสซื่อบริสุทธิ์อีกต่อไป นัยน์ตาสีดำขลับคู่นั้นเต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์อย่างร้ายกาจ

เมื่อเปรียบเทียบกับเย่อู๋เฉินคนโง่งม เวลานี้เขากลับดูความสง่างามราวกับราชาผู้สูงศักดิ์ ทั่วทั้งร่างแผ่กลิ่นอายน่าเกรงขาม

เพียงเขาโบกมือเสื้อผ้าก็ลอยมาอยู่ในมือ หลังจากสวมเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว ชายในชุดดำก็ปรากฏตัวจากด้านหลัง...

"นายท่าน ข้าน้อยขอล่วงเกินถามท่านสักเรื่อง เหตุใดเมื่อครู่จึงไม่ฉวยโอกาสทำให้นางเป็นของท่าน...."

บรรยากาศโดยรอบพลันกดดันขึ้นมากะทันหัน....

ชายในชุดดำหัวใจหล่นวูบ รีบร้อนคุกเข่าลงกับพื้น พลางเอ่ย "ข้าน้อยผิดไปแล้ว"

ในตอนที่เขาคุกเข่าลงนั้น บรรยากาศกดดันค่อยๆหายไป

_
TL: อู๋เฉินคนดีคนเดิม เพิ่มเติมคือมันร้ายมากกกกก *จิกหมอนขาด*
หากเจอคำผิด ช่วยกันสะกิดหน่อยนะคะ >_<~~

ปล. เคยแอบทำรวมๆตัวละครไว้ แต่ไม่ค่อยขยันเข้าไปอัพ อยู่ทางนี้ค่ะ >>link<<

Edit: อยากใส่เพิ่ม ต้นฉบับตอนนึงมีความยาวเฉลี่ยรวมเคาะบรรทัดแล้วประมาณ 1-1.5 หน้าค่ะ ถ้าแปบยืดเป็นห้าหน้าได้ยอมใจคนแปบค่ะ เราไม่สามารถจริงๆ = =

Last Modified: Monday, November 21, 2016

หมอยาเจ้าเสน่ห์: จอมใจราชาปีศาจ บทที่ 70-72

บทที่70 ชีวิตรักอันขมขื่นของหยากุ้ยเฟย ตอนที่3


เมื่อมู่หรูเยว่เห็นจี้หรูหยาเอาแต่ร้องไห้คร่ำครวญ นางก็พูดไม่ออกไปชั่วขณะ นางเองก็ผ่านประสบการณ์ชีวิตแย่ๆมาก่อน ถึงชาติที่แล้วมือของนางเคยแปดเปื้อนเลือด แต่ก็รู้ดีว่าการบังคับเอาสิ่งของโดยทุจริตเป็นเรื่องไม่สมควร หากผู้อื่นไม่ยั่วยุนางก่อน นางย่อมไม่ยุ่งกับผู้นั้น แต่หากผู้อื่นคิดรังแกนางเมื่อไหร่ นางเองก็ไม่ใช่คนประเภทที่ยอมให้รังแกโดยง่ายเหมือนกัน

มู่หรูเยว่พลันคลี่ยิ้มเย็น ชาติก่อนนางก็ตายด้วยเหตุนี้เหมือนกันไม่ใช่หรือ? คนไม่ผิด ผิดที่ครอบครองหยก เพียงเพื่อครอบครองตำราเทพโอสถแล้วคนพวกนั้นยอมเสียเวลาออกตามล่านางตลอดหลายเดือน

“แม่นางมู่” หยากุ้ยเฟยหยุดร้องไห้และเงยหน้าขึ้น ใช้นัยน์ตาที่ยังคงคลอไปด้วยน้ำตาจ้องมองมู่หรูเยว่พลางเอ่ย “ไม่นานมานี้ข้าได้เจอญาติผู้พี่ของข้าแล้ว เขาเองก็เข้ามาในวังหลวง กลายมาเป็นหัวหน้าองครักษ์ ตอนนี้ข้าล้มเลิกความคิดที่จะแก้แค้นเพียงหวังว่าจะได้ออกจากวังหลวงพร้อมเขา ไปใช้ชีวิตสงบสุขในสถานที่เงียบๆสักแห่ง”

“ท่านยอมล้มเลิกความคิดที่จะแก้แค้นจริงๆหรือ?” มู่หรูเยว่จ้องมองจี้หรูหยาด้วยความแปลกใจ นางรู้สึกได้ถึงความโกรธแค้นในใจของนาง เหตุใดนางถึงยอมล้มเลิกความตั้งใจง่ายดายถึงเพียงนี้?

“ถูกต้อง ข้าล้มเลิกความตั้งใจเพราะรู้ว่าแม่นางมู่ต้องแก้แค้นแทนข้า” จี้หรูหยากลั้วหัวเราะ รอยยิ้มที่ปรากฏกลางใบหน้าที่เปื้อนน้ำตาดูมีเสน่ห์อย่างประหลาด “ข้ามองออกชัดเจนว่าคนตระกูลมู่เป็นอย่างไร เขาไม่มีทางปล่อยให้ยอดอัจฉริยะอย่างท่านหลุดมือไปได้ สำหรับมู่ชิงแล้ว หากเขาไม่สามารถใช้ประโยชน์จากอัจฉริยะผู้นั้น เขาย่อมชิงสังหารอัจฉริยะผู้นั้นก่อนที่จะก่อปัญหาในภายภาคหน้า เขาเป็นชายจิตใจชั่วร้าย มีหรือแม่นางมู่จะปล่อยให้เขาตามอำเภอใจง่ายๆ? เป็นไปได้ว่าอีกไม่นาน มู่ชิงคงต้องตายด้วยเงื้อมมือท่าน”

จี้หรูหยาเป็นหญิงสาวที่ฉลาดเฉลียวอย่างไม่ต้องสงสัย นางใช้เวลาเพียงน้อยนิดก็สามารถมองสถานการณ์ออกอย่างทะลุปรุโปร่ง อีกทั้งยังสามารถคาดได้ว่า คนอย่างมู่หรูเยว่ ไม่ใช่คนประเภทที่ยอมอยู่ในแคว้นเล็กๆอย่างสือเยว่

นางต้องออกเดินทางไปยังดินแดนกว้างใหญ่เป็นแน่

“นี่คือเหตุผลที่ท่านมาหาข้าในวันนี้หรือ?” มู่หรูเยว่ขมวดคิ้ว จี้หรูหยาทำให้นางรู้สึกประทับใจเป็นอย่างมาก หากมู่ชิงคิดสังหารนางจริง ตระกูลมู่ก็คงหนีไม่พ้นต้องถูกทำลาย

“ถูกต้อง” จี้หรูหยาเหลือบนัยน์ตาคู่สวยขึ้น จ้องมองใบหน้าที่อ่อนเยาว์และงดงามตรงหน้า พลางเอ่ยยิ้มๆ “ข้าหวังเพียงแค่ให้มู่ชิงได้รับการลงโทษ ให้เขาได้รับรู้ว่าอะไรคือกฎแห่งกรรม ความชั่วช้าที่ทำเอาไว้ต้องได้รับผลกรรมอย่างสาสม ข้าไม่จำเป็นต้องลงมือเองก็ได้ ตอนนี้ข้าเพียงอยากออกผจญโลกกว้างไปกับญาติผู้พี่ของข้า แม่นางมู่ ท่านสัญญากับข้าเรื่องหนึ่งได้หรือไม่? ในอนาคตหากท่านมีกำลังกล้าแข็งเหนือกว่าคนในราชสำนัก ท่านช่วยข้าหนีจากฮ่องเต้ผู้นั้นได้หรือไม่?”

สิ่งที่ญาติผู้พี่กล่าวนั้นถูกต้อง ความโกรธแค้นนั้นปลูกฝังอยู่ในจิตใจของนาง ในเมื่อไม่ช้าก็เร็วมีคนจะจัดการกับตระกูลมู่อยู่แล้ว นางควรจะปล่อยวางความโกรธแค้นนั้นลงและออกไปผจญโลกกว้างกับเขา

ในวันที่มู่ชิงได้รับผลกรรมอย่างสาสม นางจะนำป้ายวิญญาณของบิดามารดาออกมาให้พวกท่านเห็นกับตาว่าจุดจบของศัตรูอย่างเขาจะเป็นอย่างไร

เมื่อเห็นนัยน์ตาที่เป็นประกายด้วยความหวังของจี้หรูหยา มู่หรูเยว่ก็ลอบถอนใจออกมา หยากุ้ยเฟยช่างเป็นหญิงที่น่าสงสารนัก เป็นเพราะโชคชะตาเล่นตลก หญิงสาวที่ควรจะมีความสุขกลับต้องมาทนทุกข์อยู่ในสถานการณ์แบบนี้

“ท่านเคยช่วยเหลือข้าครั้งหนึ่งในวัง ดังนั้นข้ารับปากท่าน ในวันข้างหน้าหากข้ามีกำลังกล้าแข็งเหนือกว่าคนในราชสำนัก ข้าจะช่วยให้ท่านกับคู่หมั้นของท่านหนีออกจากวังอย่างแน่นอน ข้าสัญญาต่อท่าน”

จี้หรูหยานัยน์ตาเป็นประกาย นางลุกขึ้นและเดินมาหยุดเบื้องหน้าของมู่หรูเยว่ โค้งคำนับอย่างตื้นตันใจ “แม่นางมู่ โปรดรับการคารวะจากข้า หากท่านสามารถช่วยพาข้าออกจากวังได้ข้าจะไม่ลืมบุญคุณของท่านเลย นับจากนี้ไปหากท่านต้องการความช่วยเหลือจาก ข้า จี้หรูหยา จะทุ่มเทช่วยเหลือท่านอย่างสุดความสามารถ”

บทที่71 ยาชำระไขกระดูก ตอนที่1


“แม่นางจี ข้าเพียงแค่ตอบแทนท่าน ท่านไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้ก็ได้” มู่หรูเยว่เพียงโบกมือ ส่งพลังขุมหนึ่งออกไปประคองร่างของนางให้ลุกขึ้น

จี้หรูหยาเพียงจ้องมองด้วยความประหลาดใจ ไม่ได้เอ่ยถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่

“แม่นางมู่ ยามนี้ก็สายมากแล้ว ข้าคงต้องขอตัวกลับวังหลวงก่อน” อาจเพราะว่ามู่หรูเยว่ยอมรับปากนาง จี้หรูหยาในยามนี้จึงดูอารมณ์ดีขึ้นมาก “ข้าเชื่อว่าแม่นางมู่ไม่ใช่คนที่ยอมอยู่ในบ่อเล็กๆ ในวันข้างหน้าต้องเติบใหญ่เป็นพญามังกรทองที่สามารถพลิกชะตาฟ้าดินได้เป็นแน่ แคว้นเล็กๆอย่างสือเยว่ไม่ใช่สถานที่ที่คู่ควรกับท่าน”

เวลานี้จี้หรูหยารู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมาก ความสัมพันธ์ของมู่หรูเยว่กับมู่ชิงไม่ได้เลวร้ายธรรมดา หากแต่เลวร้ายถึงขีดสุด ไม่อย่างนั้นคงไม่อาจล้างแค้นบิดามารดาของตนได้

มู่หรูเยว่คลี่ยิ้มเป็นเชิงยอมรับในคำกล่าวของจี้หรูหยา ความทะเยอทะยานของนางไม่ได้หยุดอยู่แค่ดินแดนเล็กๆ แต่เป็นดินแดนภาคกลางที่ซึ่งมีผู้แกร่งกล้ามากมายรวมตัวกันอยู่ต่างหาก

เมื่อเห็นมู่หรูเยว่มีท่าทีเช่นนั้น จี้หรูหยาก็ยิ้มกริ่ม หากมู่ชิงรู้ว่าตนได้ทอดทิ้งยอดอัจฉริยะเช่นนี้ไป ไม่รู้ว่าเขาจะเสียดายถึงเพียงไหน?

นางหวังจะได้เห็นท่าทางน่าสังเวชของเขายามที่เต็มไปด้วยความเสียดายอย่างสุดซึ้ง

ถึงแม้ว่าจี้หรูหยาจะไม่รู้เกี่ยวกับผลทดสอบพรสวรรค์ของมู่หรูเยว่ แต่นางก็รู้สึกว่าว่าเด็กสาวผู้นี้ไม่ใช่คนธรรมดา ในภายภาคหน้าทั่วทั้งดินแดนคงต้องปั่นป่วนด้วยการคงอยู่ของนาง

เมื่อจี้หรูหยาจากไป มู่หรูเยว่ก็ลุกขึ้นและมุ่งหน้าไปยังห้องปรุงยา

“ไม่รู้ว่า วันนี้ข้าจะสามารถปรุงยาปฐพีขั้นกลางได้หรือไม่” มู่หรูเยว่โบกมือ ตำราเทพโอสถปรากฏออกมาบนฝ่ามือ นางพลิกหน้ากระดาษไปเรื่อยๆ นัยน์ตาจับจ้องข้อความในหน้ากระดาษอย่างตั้งใจ

ตำราเทพโอสถไม่เพียงอธิบายถึงวิธีปรุงยาเท่านั้น ยังมีบันทึกเกี่ยวกับวิธีลัดในการเลื่อนระดับสู่ขั้นถัดไป เมื่อรวมเข้ากับการชี้แนะของอู๋หวี ยิ่งทำให้ความสามารถในการปรุงยาของนางพัฒนาอย่างรวดเร็ว

“ข้าจะลองปรุงยาชำระไขกระดูกระดับปฐพีชั้นกลางดู”

มู่หรูเยว่สูดลมหายใจลึก พยายามควบคุมจิตใจให้สงบ นางวางบัวหิมะเก้ากลีบไว้บนฝ่ามือ

จากนั้นนางก็ดึงกลีบเล็กๆออกมา จากนั้นจึงเก็บส่วนที่เหลือไว้ในแหวนสะสมดังเดิม

หากผู้คนรู้ว่านางนำบัวหิมะเก้ากลีบมาปรุงยาชำระไขกระดูก พวกเขาต้องกร่นด่าว่านางใช้เสียของเป็นแน่ หากนางต้องการจะใช้จริงๆก็ไม่ควรใช้อย่างสิ้นเปลืองเช่นนี้ เดิมทีบัวหิมะเก้ากลีบใช้ในการปรุงยาระดับสวรรค์ หากแต่นางกลับนำมันมาปรุงยาระดับปฐพี?

นี่ไม่เรียกเสียของแล้วจะเรียกอะไรได้อีก?

แต่สำหรับมู่หรูเยว่แล้ว นี่ไม่ถือเป็นเรื่องใหญ่โตอะไร

ต้องการบัวหิมะเก้ากลีบหรือ? นางแค่หาบัวหิมะแปดกลีบมาเปลี่ยนเป็นบัวหิมะเก้ากลีบเสียก็สิ้นเรื่อง ด้วยเหตุนี้เองนางจึงกล้าใช้มันอย่างสิ้นเปลืองเช่นนี้

“ยาชำระไขกระดูกจำเป็นต้องใช้ บัวหิมะเก้ากลีบ หญ้าใบม่วง ผลแปดหอม เม็ดบัวสวรรค์ และดอกชำระกระดูก...”

เมื่อจ้องมองสมุนไพรที่เรียงรายอยู่บนโต๊ะ นางก็คลี่ยิ้มอย่างพึงใจ นางดีดปลายนิ้วคราหนึ่ง เตาหลอมของนางก็ถูกห้อมล้อมด้วยเปลวเพลิง

ห้องปรุงยาที่มืดสลัว เริ่มสว่างเรืองรองด้วยแสงแห่งเปลวเพลิง....

เหยียนจิ้นอ้าปากหาวอย่างเกียจคร้าน เขานอนอ้อยอิ่งอยู่บนบ่าของมู่หรูเยว่ จ้องมองนางปรุงยา เขาชื่นชอบสรรพคุณจากสมุนไพรโดยตรงมากกว่าสมุนไพรที่ถูกหลอมออกมาเป็นยาลูกกลอน

ว่าแต่เด็กสาวผู้นี้ไปขโมยบัวหิมะเก้ากลีบมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?

เหยียนจิ้นนัยน์ตาเป็นประกาย เขาคลี่ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ สมุนไพรต้นนั้นสามารถช่วยฟื้นคืนพละกำลังของเขาได้มาก ในเวลานี้เขาอ่อนแอเสียจนไม่สามารถปกป้องตัวเองได้ด้วยซ้ำ

ภายในเตาหลอม สมุนไพรที่กำลังแปรสภาพพยายามที่จะหลบหนีออกมาด้านนอก มีหรือมู่หรูเยว่จะยอมให้เป็นเช่นนั้น? นางรวบรวมกระแสจิตส่งเข้าไปทางช่องว่างเล็กๆเตาหลอม บังคับให้สมุนไพรทั้งหลายหลอมรวมเข้าด้วยกัน


บทที่72 ยาชำระไขกระดูก ตอนที่ 2


เมื่อเวลาผ่านพ้นไป ภายในห้องปรุงยาเต็มไปด้วยกลิ่นหอมอ่อนๆของสมุนไพร เมื่อมู่หรูเยว่โบกมือ ยาลูกกลอนที่เป็นประกายสีมรกตจำนวนหนึ่งก็ลอยออกจากเตาหลอมมาอยู่ที่มือของนาง

ประกายของมันทั้งสว่างและโปร่งใสราวกับเนื้อหยกยามต้องแสงแดด อีกทั้งยังส่งกลิ่นหอมอ่อนๆออกมา มู่หรูเยว่ค่อยๆนับยาลูกกลอมและพบว่ามียาอยู่ในเตาหลอมทั้งสิ้นสามสิบหกเม็ด

หากอู๋หวีได้มาเห็นเหตุการณ์นี้กับตา คงตกใจจนพูดไม่ออก

เด็กสาวผู้นี้สามารถปรุงยาระดับปฐพีชั้นกลางในครั้งแรกได้ทั้งสิ้นสามสิบหกเม็ด? ยอดอัจฉริยะระดับนี้ไม่น่าจะใช่มนุษย์แล้ว น่าจะเป็นปีศาจกลับชาติมาเกิดเสียมากกว่า

มู่หรูเยว่ไม่พูดพล่ามทำเพลง นางกลืนยาชำระไขกระดูกลงไปทันที

ทันใดนั้นกระแสลมปราณในร่างก็ปั่นป่วน ถึงขนาดได้ยินเสียงแตกของกระดูก มู่หรูเยว่ขบกรามแน่น เลือดซึมออกจากมุมหนึ่งของปาก

ผู้ฝึกวิทยายุทธ์ที่ผ่านการชำระไขกระดูกนั้นไม่ต่างอะไรกับการเกิดใหม่ กระบวนการของมันเจ็บปวดทรมานจนยากจะทานทน เวลานี้มู่หรูเยว่รู้สึกราวกับว่ามีกระแสพลังที่แข็งแกร่งวิ่งพล่านไปทั่วร่าง

เจ็บ!

นางรู้สึกราวกับชีพจรในร่างกำลังฉีกขาด...

มู่หรูเยว่ค่อยๆปิดเปลือกตา ร่างกายสั่นเทาด้วยความทรมาน ใบหน้าของนางเห็นได้ชัดว่าอยู่ในความทรมานจนซีดเผือด ถึงอย่างนั้นนางก็ทนรับความเจ็บปวดนั้น ขบกรามแน่นไม่ส่งเสียงออกมาแม้แต่น้อย

ทันใดนั้น พลังอบอุ่นสายหนึ่งถูกส่งเข้ามาในร่าง ความเจ็บปวดค่อยบรรเทาลง นางค่อยๆลืมตา พลันสบกับใบหน้าหล่อเหลางดงามราวกับไม่ใช่คนบนโลกนี้

“อู๋เฉิน เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร?” มู่หรูเยว่เอ่ยถามอย่างแปลกใจ หากนางมองไม่ผิด เมื่อครู่สายตาของเย่อู๋เฉินคล้ายมีความกังวลแฝงอยู่

กังวล? จะเป็นไปได้อย่างไร อู๋เฉินไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง เขาจะมีสีหน้าแบบนั้นได้อย่างไร

มู่หรูเยว่สั่นศีรษะ นางพยายามจ้องมองสายตาของเด็กหนุ่มที่กำลังกอดนางอยู่อีกครั้ง กลับพบแค่นัยน์ตาที่ใสกระจ่าง เป็นประกายเหมือนอย่างที่เคย...

เมื่อครู่นางต้องตาฝาดไปแน่ๆ

“ข้ามาตามหาชายา” อู๋เฉินคลี่ยิ้มใสซื่อ กระพริบตาครั้งหนึ่งพลางเอ่ย “เมื่อครู่ ข้าเห็นชายาท่าทางไม่ค่อยสบาย จึงอยากช่วยเหลือชายา”

เมื่อได้ยินเย่อู๋เฉินเอ่ยดังนั้น มู่หรูเยว่ก็พบว่าความเจ็บปวดจากการชำระไขกระดูกนั้นหายไปแล้ว นางจ้องมองเด็กหนุ่มหล่อเหลาตรงหน้าอย่างงุนงง “อู๋เฉิน เจ้าทำอะไรกับข้าหรือ”

อู๋เฉินจ้องตอบมู่หรูเยว่ด้วยท่าทางใสซื่อ “ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน”

“เอาเถอะ” มู่หรูเยว่สั่นศีรษะ นางไม่รู้จะถามอะไรเขาอีก “อู๋เฉิน เจ้าออกไปก่อน ข้าจะตามไปทีหลัง”

ออกไปก่อน? ให้เขาปล่อยให้นางทรมานต่อน่ะหรือ? เขาจะทนได้อย่างไร? ตัวเขาเองก็ไม่เคยพบเจอผู้หญิงที่แข็งแกร่งเช่นนี้มาก่อน นางทนรับความเจ็บปวดจากการชำระไขกระดูกโดยไม่ยอมส่งเสียงร้องออกมาแม้แต่น้อย

เหยียนจิ้นจ้องมองรูปลักษณ์อันหล่อเหลาของเย่อู๋เฉิน นัยน์ตาทรงอำนาจจ้องมองเด็กหนุ่มด้วยสายตาเป็นประกาย

เด็กหนุ่มผู้นี้ไม่ธรรมดา จำเป็นต้องบอกให้นางรู้หรือไม่? แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่มีจุดประสงค์ชั่วร้ายแอบแฝง ดังนั้นเขาจะยังไม่บอกนางในตอนนี้ก็ได้

เย่อู๋เฉินราวกับรับรู้สายตาของเหยียนจิ้นที่จ้องมองมา จึงเหลือบตามองอีกฝ่าย สายตาคู่นั้นทำให้เหยียนจิ้นรู้สึกสั่นสะท้าน

เด็กหนุ่มผู้นี้แข็งแกร่งยิ่งนัก....

เหยียนจิ้นไม่เข้าใจ เหตุใดคนที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ถึงต้องแกล้งทำตัวเป็นคนโง่ด้วย? บางทีความคิดของคนบางประเภทก็ยากที่สัตว์อสูรอย่างเขาจะเข้าใจ....

----
โอยยกว่าท่านผู้เฒ่าจะมีบท แม่ยกลืมหมดโล้ววว

Last Modified: Friday, November 18, 2016

หมอยาเจ้าเสน่ห์: จอมใจราชาปีศาจ บทที่ 67-69

บทที่67 คนเสเพล เย่เทียนเฟิง


มู่ถิงเอ๋อร์รู้สึกเจ็บปวดเสียจนสมองว่างเปล่า นางจ้องมองมือทั้งสองที่โอบอยู่รอบคอของเย่เทียนเฟิง แนบชิดไออุ่นจากเรือนร่างของเขา

"ฝ่าบาท ข้าเสียสละเพื่อนท่านถึงเพียงนี้ แต่ท่านกลับตอบแทนข้าแบบนี้หรือ?" มู่ถิงเอ๋อร์ฝืนยิ้มออกมา หยดน้ำตาร่วงพรูราวกับสายฝน แพขนตาสั่นไหวไปด้วยหยาดน้ำตา ทำให้นางดูบอบบาง น่าสงสารขึ้นหลายส่วน "หากไม่เพราะข้าอยากแต่งงานกับฝ่าบาท มีหรือที่ข้าจะร่วมการประลองนั่น? หากไม่เพราะฝ่าบาท สุดท้ายข้าจะลงเอยเช่นนี้หรือ?"

ภายในใจของเย่เทียนเฟิง เขารู้สึกผิดอยู่บ้างแต่ก็เพียงเท่านั้น เขาไม่อาจตบแต่งนางเป็นชายาได้ และเป็นไปไม่ได้ยิ่งกว่าที่จะมีนางเพียงคนเดียวชั่วชีวิต ดังนั้นเขาจึงไม่รู้สึกผิดเท่าไหร่นัก

"ถิงเอ๋อร์ข้าจะให้ฐานะแก่เจ้า"

มู่ถิงเอ๋อร์นัยน์ตาเป็นประกาย "จริงหรือ? ฝ่าบาทจะแต่งงานกับข้าหรือ?"

เมื่อเห็นนัยน์ตาของเด็กสาวเต็มไปด้วยความหวัง เย่เทียนเฟิงกลับรู้สึกในทางตรงกันข้าม ถึงแม้เขาไม่อาจหักใจทำร้ายนางได้ แต่ก็ยังต้องฝืนทำใจแข็ง

เด็กสาวที่ประพฤติตัวไม่เหมาะสมไม่อาจตบแต่งเข้ามาในราชวงศ์ได้

"ถิงเอ๋อร์ ข้าคุยกับเสด็จพ่อแล้ว เขาอนุญาตให้ข้ารับเจ้าเข้ามาเป็นอนุได้"

อนุ?

มู่ถิงเอ๋อร์นัยน์ตาหม่นแสง และทันใดนั้นนางก็หัวเราะออกมา รอยยิ้มของนางนั้นเต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง "ฝ่าบาท ข้าเสียสละเพื่อท่านไปมากเท่าไหร่? ท่านกลับตอบแทนข้าด้วยวิธีนี้? อนุ? ฮ่าฮ่าฮ่า หลังจากที่ข้ายอมทำเพื่อท่านทุกอย่าง สุดท้ายกลับได้เป็นแค่อนุคนหนึ่ง"

เมื่อพูดถึงประโยคนั้น มู่ถิงเอ๋อร์ก็เข่นกรามแน่น นัยน์ตาคู่งามของนางฉายแววเกลียดชัง

"ฝ่าบาท" สาวงามทำหน้าขุ่นเคือง เหลือบมองมู่ถิงเอ๋อร์ด้วยหางตา "ท่านให้นางออกไปก่อนได้หรือไม่ ข้าน้อยยังอยากกระทำต่อ..."

"หญิงแพศยา!" มู่ถิงเอ๋อร์สีหน้าเปลี่ยน นางกระชากแถบผ้ายาวสีขาวของหญิงสาวผู้นั้นออกมา "เจ้ากล้ารบกวนฝ่าบาทให้ทำเรื่องเช่นนั้นกับเจ้า ข้าจะกรีดหน้าเจ้า ดูสิว่าเจ้าจะยังยั่วยวนฝ่าบาทได้อีกหรือไม่!"

หากเป็นมู่ถิงเอ๋อร์ในยามปกติ นางย่อมไม่กล้าแสดงท่าทีแบบนี้ออกมา แต่ยามนี้นางกำลังขาดสติ เห็นแต่ภาพคนทั้งสองตระคองกอดกัน

ผู้หญิงคนใดบ้างสามารถทนเห็นคนรักทำเรื่องแบบนั้นกับหญิงคนอื่น? ตอนนี้สิ่งเดียวที่นางต้องการคือฆ่านังผู้หญิงคนนั้น!

แถบผ้าสีขาวฝั่งหนึ่งยังคงถูกมือเรียวของมู่ถิงเอ๋อร์ยึดไว้แน่น ทว่ากลับถูกกระตุกกะทันหัน ส่งผลให้ร่างของมู่ถิงเอ๋อร์ลอยตามไปแรงดึงนั้น ในขณะที่ใบหน้าของนางเปลี่ยนเป็นซีดเผือดด้วยความกลัว นางเห็นฝ่ามือของเขาตบมาที่ใบหน้าของนาง

เย่เทียนเฟิงจ้องมองมู่ถิงเอ๋อร์อย่างเย็นชา สีหน้าโกรธจัดฉายชัดบนใบหน้าหล่อเหลาของเขา ที่มือยังคงกำแถบผ้าอีกฝั่งเอาไว้แน่น ดูเหมือนว่าความโกรธของเขาจะทำให้สามารถมองเห็นเส้นเลือดที่หลังมืออย่างชัดเจน

ปัง!

เขายกเท้าเตะไปที่ท้องของมู่ถิงเอ๋อร์อย่างไร้ความปราณี นั่นทำให้ร่างของนางลอยออกไปกระแทกกับกำแพงอย่างแรง เลือดเป็นสายซึมออกจากริมฝีปากของนาง

เจ็บ!

เจ็บเหลือเกิน...!

มู่ถิงเอ๋อร์กุมหน้าอก ขดกายอยู่บนพื้นด้วยความเจ็บปวด ใบหน้างามซีดเผือด เหงื่อเย็นเยียบไหลไปตามโครงหน้าของนาง

ถึงอย่างนั้นความเจ็บปวดที่หัวใจของนาง ยังมากกว่าความเจ็บจากแรงเตะของเขาหลายเท่านัก

"มู่ถิงเอ๋อร์ นางเป็นอนุของข้า รับใช้ข้าย่อมเป็นเรื่องธรรมดา เจ้ากลับคิดจะเอาชีวิตนาง! โชคดีที่ข้ารู้ธาตุแท้ของเจ้าก่อน ไม่อย่างนั้นหากตบแต่งเจ้าเข้ามา ตำหนักของข้าไม่วุ่นวายแย่หรือ?"

-----
ผู้ชายเรื่องนี้มันยังไง ชอบใช้กำลังกะผู้หญิง พอหอมปากหอมคอก็พออิเฟิง ช่วยรักษาภาพพจน์รัชทายาทหน่อย วุ้ย พอกันทั้งศิษย์ทั้งอาจารย์ -_-;;

อ่านผ่านๆคิดถึงองค์ชายแอ๊บแบ๊วแล้ว

บทที่68 ชีวิตรักอันขมขื่นของหยากุ้ยเฟย บทที่ 1


เย่เทียนเฟิงลุกขึ้นจากเตียง เขายื่นมือไปจับแขนของมู่ถิงเอ๋อร์ที่ยังคงมีใบหน้าซีดเผือดเอาไว้ หัวเราะเย็นชา "ในเมื่อเจ้าอยากปรนนิบัติข้าถึงเพียงนี้ ข้าช่วยให้เจ้าสมปรารถนาดีหรือไม่? ข้ากำลังมีอารมณ์อยู่พอดี เจ้ากับเม่ยเอ๋อร์จงมาปรนนิบัติข้าพร้อมกัน"

นัยน์ตาคู่สวยของมู่ถิงเอ๋อร์เบิกกว้าง จ้องมองใบหน้าหล่อเหลาที่คุ้นเคยอย่างตกตะลึง

นี่คือชายที่นางหลงรักมาตลอดหลายปีหรือ? เขาต้องการให้นางปรนนิบัติเขาพร้อมกับหญิงคนอื่น?

ไม่ นางไม่ต้องการ!

"ฝ่าบาท ขอร้อง ปล่อยข้าไปเถอะ ข้าขอร้องท่าน..." มู่ถิงเอ๋อร์ร้องไห้น้ำตานอง ไม่ว่านางจะอ้อนวอนต่อเขามากแค่ไหน ก็สายเกินกว่าจะให้เขาใจอ่อน...

เสื้อผ้าของนางถูกฉีกกระชากทีละชิ้น มู่ถิงเอ๋อร์ได้แต่ปิดเปลือกตาอย่างสิ้นหวัง....

แค่มองเพียงวูบเดียวหัวใจของนางก็เจ็บปวดราวกับถูกบีบ นางจะทนมองจากต้นจนจบได้อย่างไร? ทางเดียวที่ทำได้ในตอนนี้คือหลับหูหลับตาไม่รับรู้เรื่องโหดร้ายเช่นนี้

///////

"นายหญิง หยากุ้ยเฟยมาขอรับ"

ภายในเรือนมู่ มู่หรูเยว่กำลังทานองุ่นที่เย่อู๋เฉินปอกเปลือกส่งให้ เมื่อได้ยินคำพูดของหลี่ลู่ นางก็เลิกคิ้วพลางเอ่ยถาม "หยากุ้ยเฟยมาหาข้าทำไม?"

ตอนนี้เรื่องที่นางพักอาศัยอยู่ที่นี่ ผู้คนในเมืองเฟิ่งเฉิงต่างก็รู้กันทั่ว ไม่ใช่ความลับอีกต่อไป

หลี่ลู่เกาหลังคอ เอ่ยกลั้วหัวเราะ "ข้าจะทราบได้อย่างไร นายหญิงไปพบนางก็รู้เอง"

"ก็ดีเหมือนกัน" มู่หรูเยว่ลุกจากเก้าอี้ยาว พลางบิดกาย "อย่างนั้นข้าจะไปดูเสียหน่อยว่าหยากุ้ยเฟยมาหาข้าด้วยเหตุอันใด"

เมื่อพูดจบ ร่างของนางก็เดินออกไปทางประตูเรียบร้อยแล้ว

เวลานี้หยากุ้ยเฟยกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่ทำจากไม้จันทร์ ข้างกายมีนางกำนัลคอยปรนนิบัติรินน้ำชาให้นาง นางยกถ้วยชาขึ้นจิบเล็กน้อย รับรสได้ถึงกลิ่นหอมอบอวลของใบชาในปาก นางเอ่ยอย่างชื่นชม "นี่ย่อมเป็นชาชั้นเลิศ!"

เมื่อมู่หรูเยว่เดินเข้ามาจากทางด้านนอก ทันได้ยินคำชมเชยของหยากุ้ยเฟยพอดี นางหัวเราะ "หากพระสนมชื่นชอบ สามารถนำกลับไปที่ตำหนักเท่าไหร่ได้"

ถึงอย่างไรใบชาพวกนี้ก็เป็นของที่รับมาจากชายชราอยู่ดี

"ถ้าอย่างนั้นข้าไม่เกรงใจแม่นางมู่แล้วกัน" เสียงหัวเราะที่มีเสน่ห์ของหยากุ้ยเฟย ยิ่งทำให้นางดูมีชีวิตชีวาขึ้น "แม่นางมู่ ข้าไม่ได้มาหาท่านในฐานะพระสนม แต่เป็นแค่จี้หรูหยาคนหนึ่ง แม่นางมู่อย่าได้เรียกหาข้าด้วยฐานะเช่นนั้นเลย"

มู่หรูเยว่ยังคงคลี่ยิ้ม นางนั่งลงพลางจิบชาเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยอย่างไม่รีบร้อน "
ไม่ทราบว่าแม่นางจีมาหาข้าวันนี้ด้วยเหตุอันใด?"

หากไม่ร้อนใจคงไม่ถามถึงพระ หากจี้หรูหยาไม่มีเหตุอันใดคงไม่มาหานางถึงที่นี่ อย่างไรก็ตามนางรู้สึกประทับใจต่อจี้หรูหยาอยู่บ้างจึงไม่ปฏิเสธที่จะทำความรู้จักอีกฝ่าย

จี้หรูหยาหันไปสบตานางกำนัล "เผ่ยชุ่ย ออกไปเฝ้าข้างนอกห้ามให้ผู้ใดเข้ามา"

"เพคะ พระสนม"

เผ่ยชุ่ยค้อมกายเดินออกไปเฝ้าข้างนอกประตู ขณะที่จี้หรูหยาจ้องมองมู่หรูเยว่ นัยน์ตาที่งดงามและโดดเด่นของนางฉายแววเศร้าสร้อย

"แม่นางมู่สนใจฟังเรื่องของข้าหรือไม่?"

ผู้คนต่างก็รู้ว่าฮ่องเต้สือเยว่รักใคร่หยากุ้ยเฟยอย่างลึกล้ำ เขาปรนเปรอสมบัติมีค่ามากมายให้นาง เขายินยอมทำทุกวิถีทางเพียงเพื่อให้หยากุ้ยเฟยมีความสุข ถึงขนาดมีคำล่ำลือว่าเสน่ห์ของหยากุ้ยเฟยอาจทำให้เมืองต้องถึงกาลวิบัติ

ใครเล่าจะรู้ว่าเหตุใดหญิงที่งามปานล่มเมืองผู้นี้ถึงสิ้นคิดยอมแต่งงานกับชายที่แก่คราวปู่ของนาง? เขาไม่อาจเติมเต็มชีวิตที่สมบูรณ์ให้นางได้ ไม่ว่าเขาจะมีฐานะสูงส่งเพียงใดก็ตาม

บทที่69 ชีวิตรักอันขมขื่นของหยากุ้ยเฟย บทที่ 2


"แม่นางจีตอนนี้ข้ามีเรื่องมากมายต้องสะสาง หากข้าฟังเรื่องของท่านจะมีปัญหาตามมาเพิ่มขึ้นหรือไม่?" มู่หรูเยว่ขมวดคิ้ว นางเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาโดยไม่สนใจความรู้สึกของอีกฝ่าย

จี้หรูหยาขบริมฝีปากสีแดงจัด ใบหน้าที่งดงามของนางแฝงไปด้วยความเศร้าสร้อย

"แม่นางมู่ไม่ต้องกังวลไป ข้าไม่ได้ต้องการให้ท่านช่วยเหลืออะไรข้า เพียงแต่อยากได้ผู้ฟังเท่านั้น แน่นอนว่าหากในอนาคตแม่นางมู่มีกำลังมาก ท่านอาจยื่นมือช่วยเหลือข้า ข้าจะซึ้งใจเป็นอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตามหากเรื่องนี้สร้างความลำบากใจให้แม่นางมู่ ท่านทำเป็นลืมสิ่งที่ข้าพูดในวันนี้ไปก็ได้ ข้าจะไม่กดดันให้แม่นางมู่ทำอะไรเพื่อข้าอีก"

นัยน์ตางดงามที่แฝงไปด้วยความแน่วแน่เด็ดเดี่ยว จ้องตรงมาที่เด็กสาวตรงหน้า

"ตกลง ถ้าอย่างนั้นข้าจะฟังเรื่องของแม่นางจีดูซักครั้ง" มู่หรูเยว่แบมือออก พลางเอ่ยต่อ "หากเรื่องนี้เป็นเรื่องยุ่งยาก ข้าจะทำเป็นไม่เคยได้ยินอะไรทั้งสิ้น"

หญิงสาวที่ใช้ชีวิตในตำหนักในจะมีเรื่องเล่าแบบไหนกัน? คงไม่พ้นเรื่องรักๆใคร่ๆของชายหญิง จี้หรูหยายังอยู่ในวัยสาวสะพรั่ง การได้รับความรักจากชายหนุ่มเป็นเรื่องที่เข้าใจได้

จี้หรูหยาหัวเราะอย่างขมขื่น ความทรงจำในอดีตผุดขึ้นมาราวกับกระแสน้ำ...

"ตัวข้าไม่ได้เกิดมาในตระกูลขุนนาง หากแต่เกิดในตระกูลเล็กๆครอบครัวหนึ่ง ถึงฐานะตระกูลของข้าจะไม่สูงส่ง แต่ก็ได้รับความรักและเอาใจใส่จากบิดามารดา ข้ายังมีญาติผู้พี่คนหนึ่งอาศัยอยู่ที่บ้านของข้าด้วย ตระกูลของเราหมั้นหมายญาติผู้พี่กับข้าไว้ตั้งแต่พวกเรายังเด็ก หลังจากนั้นตอนที่ครอบครัวของญาติผู้พี่ประสบเคราะห์ ตระกูลของข้าก็ไม่ได้ทอดทิ้งเขา ตรงกันข้ามกลับเอ็นดูเขาราวกับลูกชายแท้ๆ"

"แต่แล้วเพราะสมุนไพรต้นหนึ่ง ทำให้ครอบครัวของข้าต้องประสบเคราะห์กรรม...."

จี้หรูหยากำหมัดแน่น ความเกลียดชังผุดวาบในดวงตา "ในตอนที่ข้าอายุสิบหกปี อีกเพียงไม่ถึงสองเดือนก่อนจะได้แต่งงานกับญาติผู้พี่ บิดาของข้าบังเอิญได้รับสมุนไพรระดับพันปีตอนที่เขาออกไปทำธุระข้างนอกและมู่ชิงผ่านมาเห็นเข้าพอดี เพื่อสมุนไพรระดับพันปีนั่น เขาไม่ลังเลที่จะสังหารตระกูลของข้าทิ้ง! ข้าไม่มีทางลืมเหตุการณ์ในวันนั้นได้ หนี้เลือดฝังอยู่ในใจข้ามายาวนาน เพื่อช่วยให้ญาติผู้พี่กับข้าหนีรอดปลอดภัย บิดามารดาของข้าต้องสละชีวิตใต้คมดาบศัตรู! หลังจากที่ข้ากับญาติผู้พี่หนีออกมาได้ พวกเราก็แยกจากกันนับแต่นั้นเป็นต้นมา"

"ข้าเกลียดมัน! ไม่มีครั้งไหนที่ข้าไม่อยากฆ่าคนผู้นั้นเพื่อล้างแค้นให้บิดามารดา! แค้นนี้ ไม่ว่าจะต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหนข้าก็จะไม่มีทางล้มเลิกความตั้งใจเด็ดขาด ข้าถึงกับยกเลิกสัญญาหมั้นหมายกับญาติผู้พี่เพื่อเข้าตำหนักใน เมื่อก้าวมาในวังวนกว้างใหญ่ของวังหลวงแล้ว บางทีข้าอาจจะต้องอยู่ที่นี่ไปชั่วชีวิต แต่เพื่อแก้แค้นแล้วข้าไม่มีทางเสียใจเด็ดขาด!"

"ห้าปีแล้ว ฮ่าฮ่า ห้าปีแล้วนับจากวันนั้น ข้าฝันร้ายคืนแล้วคืนเล่ามาตลอดห้าปี ศัตรูของข้าอยู่ตรงหน้าแท้ๆแต่ข้ากลับไม่สามารถทำอะไรได้ ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้ฮ่องเต้สุนัขนั่นรักข้าแค่ไหน เขาก็ไม่มีทางสังหารมู่ชิงเพื่อข้า"

ห้าปีแล้ว.. มีเพียงสวรรค์ที่รู้ว่าห้าปีที่ผ่านมานางใช้ชีวิตอย่างขมขื่นแค่ไหน...

คืนแล้วคืนเล่าที่นางฝันถึงบิดามารดาถูกสังหารไปพร้อมกับพี่น้องอีกหนึ่งร้อยสามสิบหกชีวิตในตระกูล ใบหน้าเปื้อนเลือดของพวกเขาปรากฏในห้วงฝันของนางทุกค่ำคืน เสียงกรีดร้องของพวกเขาเป็นดั่งชนักที่ปักลึกอยู่ในหัวใจ นางเจ็บปวดราวกับหัวใจแตกออกเป็นเสี่ยงๆ คาดหวังแต่เพียงนำเลือดของศัตรูมาล้างหนี้เลือดให้จนได้

แรกเริ่มเดิมทีนางมีชีวิตอย่างสงบสุข แต่แล้วตระกูลของนางกลับมาล่มสลายเพียงเพราะสมุนไพรเพียงต้นเดียว หากโศกนาฎกรรมครั้งนั้นไม่เกิดขึ้น บางทีนางอาจจะได้แต่งงานกับญาติผู้พี่ และมีลูกที่น่ารักไปนานแล้ว

"ข้ารังเกียจฮ่องเต้สุนัขผู้นั้นแต่ก็ยังต้องฝืนแย้มยิ้มให้เขา ข้ารู้ว่าสิ่งที่ข้าทำลงไปนั้นทำให้ญาติผู้พี่ผิดหวัง แต่เพื่อล้างแค้นแล้วข้าทนได้ สิ่งเดียวที่ข้าทำเพื่อญาติผู้พี่ได้คือเก็บรักษาความบริสุทธิ์ของข้าไว้ นอกเหนือจากญาติผู้พี่แล้วข้าไม่ยอมให้ใครแตะต้องเรือนร่างของข้าเป็นอันขาด"

จี้หรูหยายกมือปิดใบหน้า หยาดน้ำตายังคงซึมผ่านร่องนิ้วลงมา "แต่ตอนนี้ข้าไม่ต้องการล้างแค้นอีกต่อไปแล้ว ข้าควรทำอย่างไรดี? ข้าไม่อยากล้างแค้นอีกต่อไป...."

------
แปลมาเกือบเจ็ดสิบตอน ตอนที่ 69 เป็นตอนที่แปลยากที่สุด ถ้าอ่านแล้วติดขัดอย่าแปลกใจค่ะ บทนี้มีสำนวนแปลกๆเยอะมาก ชั่วโมงบินยังไม่พอ สิ้นเปลืองพลังชีวิตมากๆ

ปล. ยังไม่ถึงบ้านเลย ถ้าฟอแม็ตเพี้ยนเดี๋ยวกลับมาแก้พรุ่งนี้นะคะ


posted from Bloggeroid

Last Modified: Thursday, November 17, 2016

หมอยาเจ้าเสน่ห์: จอมใจราชาปีศาจ บทที่ 65-66

บทที่65 กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นย่อมตามสนอง


"ท่านประมุข ท่านประมุข ท่านอาจารย์เทียนหยวนมาขอรับ"

มู่ชิงนั่งอยู่ในห้องโถงกำลังจิบชาอย่างสบายอารมณ์ เขานึกจินตนาการออกเลยว่าในยามนี้ท่านอาจารย์เทียนหยวนต้องสร้างปัญหาให้นังเด็กดื้อนั่นไม่น้อย ริมฝีปากของเขาพลันคลี่ยิ้มอย่างไม่รู้ตัว

ทันทีที่ได้ยินเสียงประกาศ มู่ชิงรู้สึกยินดี ในขณะที่เขาจะออกไปต้อนรับก็พบว่าท่านอาจารย์เทียนหยวนในชุดยาวสีเขียวก้าวเข้ามาในห้องโถงเรียบร้อยแล้ว

เทียนหยวนในยามนี้มีสีหน้าไม่สบอารมณ์ ไม่ได้มีสีหน้ายินดีอย่างที่มู่ชิงคาดไว้ นั่นทำให้เขารู้สึกแปลกใจ หรือว่ามีบางสิ่งเกิดขึ้นโดยที่เขาไม่รู้?

"ท่านอาจารย์เทียนหยวน ไม่ทราบว่าเรื่องนั้นผลเป็นอย่างไรบ้าง?" มู่ชิงคลี่ยิ้ม เอ่ยถามอย่างนอบน้อม

หากไม่พูดก็แล้วไป แต่เมื่อมู่ชิงถามออกมาแล้ว สีหน้าของเทียนหยวนก็ทะมึนราวกับความเงียบสงบก่อนพายุจะเข้า กลิ่นอายของเขาเต็มไปด้วยความอันตราย

"ประมุขตระกูลมู่ ไม่ทราบว่าคุณหนูรองอยู่หรือไม่? ช่วงนี้ข้ากำลังขาดแคลนผู้ติดตาม หากประมุขตระกูลมู่ยอมช่วยเหลือข้าในครั้งนี้ ข้าย่อมไม่ทำตัวเลวร้ายกับท่านแน่"

หลังออกจากเรือนมู่ เทียนหยวนใคร่ครวญหาวิธีมากมายเพื่อทรมานพวกตระกูลมู่ และวิธีการที่ดีที่สุดที่เขานึกออกก็คือการทรมานบุตรสาวสุดที่รัก และปล่อยให้มู่ชิงเข้าใจว่าได้สานสัมพันธ์กับสำนักชิงหยุน

ถึงแม้ว่าเทียนหยวนนึกอยากทุบตีมู่ชิงให้หายแค้น แต่เพราะท่านอาจารย์อู๋หวีได้ตักเตือนไว้ก่อนหน้าว่าต้องไม่ให้ผู้ใดล่วงรู้ฐานะของมู่หรูเยว่เป็นอันขาด เขาจึงทำได้แค่คิดวิธีการณ์นี้ออกมา

หากเขาลงมือด้วยตัวเอง อาจทำให้มู่ชิงสามารถคาดเดาถึงบางสิ่งบางอย่าง...

มู่ชิงค่อยรู้สึกเบาใจ ดูเหมือนว่าที่ท่านอาจารย์เทียนหยวนมีสีหน้าไม่สบอารมณ์เนื่องมาจากถูกมู่หรูเยว่ปฏิเสธ ดังนั้นเขาจึงหาตัวเลือกอื่น ตอนนี้หากคาดหวังให้มู่ถิงเอ๋อร์ได้เป็นชายาเอกของรัชทายาทย่อมเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นการเป็นผู้ติดตามของท่านอาจารย์เทียนหยวนนั้นย่อมไม่เลวนัก

"ท่านอาจารย์จะให้ถิงเอ๋อร์ไปพบท่านเมื่อไหร่ดี?" มู่ชิงนัยน์ตาเป็นประกาย การได้เป็นผู้ติดตามอาจไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่หากพรสวรรค์ของนางเข้าตาท่านอาจารย์เทียนหยวนล่ะก็นางอาจจะได้กลายเป็นศิษย์ของเขา

เทียนหยวนมีหรือจะไม่ล่วงรู้แผนการของมู่ชิง? เขาแค่นเสียงเย็นชา สายตาของเขายังไม่ต่ำต้อยถึงเพียงนั้น มีหรือจะยอมรับคนอย่างนางเป็นศิษย์

หากเขาใช้โอกาสนี้แก้แค้นคุณหนูมู่ บางทีท่านอาจารย์อู๋หวีอาจจะเปลี่ยนใจไม่ลงโทษกักบริเวณเขาที่เขตต้องห้าม

"ข้าจะพานางไปวันนี้เลย" เทียนหยวนเหลือบมองมู่ชิงอย่างเย็นชา พลางเอ่ย "นับจากนี้ต่อไป มู่ถิงเอ๋อร์จากตระกูลมู่จะเป็นผู้ติดตามของข้า เทียนหยวน ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากนี้ล้วนไม่เกี่ยวข้องกับตระกูลมู่อีกต่อไป"

มู่ชิงรู้สึกใจสั่น เขาไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วเรื่องนี้จะนับเป็นโชคดีหรือโชคร้ายของตระกูลมู่

"ใครก็ได้ ไปตามคุณหนูรองออกมาที" มู่ชิงถอนใจออกมา ถึงอย่างไรการได้รับความสนใจจากท่านอาจารย์เทียนหยวนนับเป็นความโชคดีของถิงเอ๋อร์

มู่ถิงเอ๋อร์สวมชุดสีชมพูเดินออกกมาจากสวนด้านหลัง ใบหน้างดงามของนางยังซีดเซียว หัวคิ้วย่นหากันเล็กน้อยอย่างเศร้าโศก ยิ่งทำให้นางดูอ่อนแอน่าทะนุถนอมยิ่งขึ้น

นางเม้มริมฝีปากเล็กน้อย ค่อยเดินมาหยุดเบื้องหน้าเทียนหยวน เอ่ยทักทายอย่างนอบน้อม "ถิงเอ๋อร์ คำนับท่านอาจารย์เทียนหยวน"

"ถิงเอ๋อร์" มู่ชิงเลื่อนสายตาไปจ้องถิงเอ๋อร์พลางทอดถอนใจ เขารู้สึกเอ็นดูเด็กสาวผู้นี้ไม่ต่างอะไรกับบุตรสาวแท้ๆ

"ท่านอาจารย์เทียนหยวนต้องการรับเจ้าเป็นผู้ติดตาม อีกไม่นานเจ้าต้องออกเดินทางพร้อมท่านอาจารย์แล้ว"

"ว่าอย่างไรนะ?" มู่ถิงเอ๋อร์รู้สึกตื่นเต้น แทบไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน "ท่านพ่อ ท่านพูดจริงหรือ?"

บทที่66 เจ็บแทบขาดใจ


เทียนหยวนแสดงท่าทางร้อนใจ เขาจับจ้องใบหน้าปลื้มปิติของมู่ถิงเอ๋อร์ด้วยสายตาเย็นชา เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยเอ่ยอย่างเฉยเมย "ไปกันเถอะ ข้าไม่อยากเสียเวลาอยู่ที่นี่"

หลังพูดจบเขาก็ไม่ได้สนใจมู่ถิงเอ๋อร์อีก เพียงก้าวยาวๆออกจากคฤหาสน์ มู่ถิงเอ๋อร์ค่อยคลายจากอาการยินดี รีบร้อนตามเขาออกไป

เทียนหยวนไม่ต้องการให้มู่ถิงเอ๋อร์มาเป็นผู้ติดตามของเขา และยังไม่เดินทางกลับสำนักชิงหยุนด้วย ถึงแม้ว่าการประลองจะจบลงแล้ว แต่เขาตั้งใจจะอยู่ต่อในเฟิ่งเฉิงอีกสักพักซึ่งได้รับอนุญาตจากอู๋หวีเรียบร้อยแล้ว

และอีกเหตุผลหนึ่งคือให้มู่ถิงเอ๋อร์ได้รับรู้ความยากลำบากของการเป็นผู้ติดตามของเขา

ทุกวันนางต้องตื่นตั้งแต่ก่อนฟ้าสางเพื่อออกไปเก็บสมุนไพรบนภูเขาใกล้ๆเมืองเฟิ่งเฉิงกว่าจะได้กลับมาก็ค่ำมืด ไม่พอนางยังต้องคอยเป็นลูกมือคอยช่วยเหลือเทียนหยวนในยามที่เขาปรุงยา หากนางทำให้เขาไม่พอใจเขาก็จะดุด่านางเล็กน้อย แต่หากทำพลาดยิ่งกว่านั้นเขาก็ลงโทษให้นางอดอาหารสามวัน

มู่ถิงเอ๋อร์เคยคิดว่ายามเมื่อความทุกข์ผ่านไปความสุขจะมาเยือน แต่ตอนนี้นางรู้แล้วว่านางกำลังก้าวเข้าสู่ขุมนรก...

นางเป็นคุณหนูในตระกูลคหบดีที่ได้รับการพะเน้าพะนอเป็นอย่างดี มีหรือจะทนรับความยากลำบากถึงเพียงนี้ได้? ไม่เพียงน้ำหนักของนางลดลงอย่างฮวบฮาบ การฝึกฝนวิทยายุทธของนางก็ไม่มีการพัฒนา ชีวิตของนางในยามนี้เทียบไม่ได้เลยกับยามที่นางใช้ชีวิตในตระกูลมู่...

"มู่ถิงเอ๋อร์ เจ้าจงช่วยข้านำสมุนไพรพวกนี้ไปส่งให้เฟิงเอ๋อร์ที่ตำหนักจิ่ง" เทียนหยวนนำสมุนไพรตระกร้าหนึ่งวางลงตรงหน้ามู่ถิงเอ๋อร์ พลางเอ่ยเสียงเรียบ

มู่ถิงเอ๋อร์เมื่อรู้ว่าในที่สุดนางก็จะได้พบฝ่าบาทของนางเสียที นางกล้ำกลืนความขมขื่นในใจ โค้งศีรษะและเอ่ยอย่างนอบน้อม "ทราบแล้ว ท่านอาจารย์เทียนหยวน"

นางรีบร้อนหยิบตระกร้าสมุนไพรและเดินออกไป ไม่ทันสังเกตเห็นรอยยิ้มชั่วร้ายที่มุมปากของเทียนหยวน

///////

เบื้องหน้าตำหนักจิ่งคราคร่ำไปด้วยผู้คน มู่ถิงเอ๋อร์ค่อยๆเดินมาหยุดและเงยหน้ามองตำหนักตรงหน้า หัวใจพลันเต้นรัวด้วยความตื่นเต้น

นางจินตนาการว่าชายหนุ่มรูปงามยืนอยู่ตรงหน้า จ้องมองนางด้วยแววตาอ่อนโยนพลางเอ่ยคำพูดหวานหู

"ถิงเอ๋อร์ ชั่วชีวิตนี้เจ้าคือหญิงที่ข้ารักที่สุด ข้าจะปกป้องเจ้าไปชั่วชีวิต"

"มู่หรูเยว่นับว่ากระไรได้? ผู้ที่คู่ควรจะเป็นชายารัชทายาทมีเพียงเจ้าคนเดียว"

"ถิงเอ๋อร์ในเมื่อเจ้ากลายเป็นคนของข้า ข้าย่อมมอบฐานะให้เจ้า อีกสามเดือนข้างหน้าข้าจะประกาศให้ทุกคนรู้ว่าเจ้าคือหญิงที่ข้าจะแต่งงานด้วย"

......

คำพูดเหล่านั้นถูกพูดเมื่อนานมาแล้ว แต่สำหรับนางนั้นราวกับเป็นเรื่องเมื่อวันวาน

ตลอดการเดินทางของมู่ถิงเอ๋อร์ไร้ซึ่งอุปสรรค นางเดินเข้ามาเรื่อยๆจนถึงภายในตำหนักจิ่ง นางข่มความตื่นเต้นในใจ ค่อยๆเลื่อนมือไปเปิดประตู...

ผ้าม่านในห้องปลิวไสว เผยให้เรือนร่างขาวจัดทั้งสองปรากฏสู่สายตา น้ำเสียงครางทั้งสูงทั้งต่ำนั้นดังทิ่มแทงมาที่จิตใจมู่ถิงเอ๋อร์อย่างจัง โครม! ตระกร้าสมุนไพรในมือพลันหล่นลงกับพื้น

มู่ถิงเอ๋อร์ทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ นัยน์ตาคู่งามเบิกกว้างจ้องมองภาพตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตา นางจ้องมองชายที่เคยบอกว่าจะรักนางไปชั่วชีวิต

ถึงแม้นางจะรู้อยู่ก่อนหน้าว่าเหตุการณ์เช่นนี้ย่อมเกิดขึ้นในอนาคต หากเมื่อได้เห็บกับตายิ่งรู้สึกเหมือนหัวใจของนางโดนฉีกกระชากออกเป็นชิ้นๆ รู้สึกเจ็บแทบขาดใจ...

"ถิงเอ๋อร์?" เย่เทียนเฟิงรู้สึกว่ามีบางสิ่งเคลื่อนไหวอยู่หน้าประตู แต่เขาไม่มีเวลาผละออกจากร่างของเด็กสาว เมื่อเขาเห็นมู่ถิงเอ๋อร์กำลังยืนอยู่หน้าประตู นัยน์ตาเขาฉายแววตกใจอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นค่อยกลับเป็นปกติ

เด็กสาวที่อยู่เคียงข้างมีนัยน์ตาเย้ายวนราวกับผ้าไหม และเรือนร่างทรงเสน่ห์ แขนของนางโอบกอดเย่เทียนเฟียงราวกับงู นางคลี่ยิ้มอย่างยั่วยวนพลางเอ่ยถาม "ฝ่าบาท นางเป็นใครหรือ?"

"นางเป็น..." เย่เทียนเฟิงจ้องมองมู่ถิงเอ๋อร์ และเอ่ยตอบ "นางเป็นผู้หญิงของข้า"

นางไม่ใช่ชายาหรืออนุของเขา แต่เป็นแค่ผู้หญิงคนหนึ่ง...

---
สงสารนางหน่อย อย่าอินกันเยอะ...

รู้สึกท่านอาจารย์เทียนหยวนนี่เลวไปนะ อัลลัยคือเอาลูกเค้ามาทรมาน จิตใจทำด้วยอะไร แค่โดนผู้ชายเมินก็หนักแล้วยังจงใจให้นางมาเห็นภาพบาดตาบาดใจอีก เอ้อ.... ถึงว่าเข้ากะลูกศิษย์ได้ ;_;

อะไรนะนัดส่งงานพรุ่งนี้? ว๊ากกก ยังไม่ได้เริ่ม
posted from Bloggeroid

Last Modified: Wednesday, November 16, 2016

หมอยาเจ้าเสน่ห์: จอมใจราชาปีศาจ บทที่ 63-64

บทที่ 63 เทียนหยวนมาเยือน

ภายในห้องโถงตระกูลมู่ เทียนหยวนได้ยินเสียงของแตกดังมาจากที่ไกลๆ เขาขมวดคิ้วพลางเอ่ยอย่างแดกดัน "บุตรสาวของท่านช่างอารมณ์ร้อนเสียจริง แค่เสียงทำลายชุดเครื่องชายังดังมาไกลขนาดนี้"

มู่ชิงสีหน้าแดงก่ำไม่รู้จะตอบอย่างไรดี ทำได้แต่คลี่ยิ้มพลางเอ่ย "ท่านอาจารย์เทียนหยวน ลมอะไรหอบท่านมาถึงที่นี่?"

เขาวางถ้วยน้ำชาลง เทียนหยวนเหลือบมองมู่ชิงด้วยสายตาเฉยเมย "ข้ามาตามหามู่หรูเยว่ ท่านชวนนางกลับตระกูลมู่แล้วไม่ใช่หรือ?"

"เรื่องนั้น..." มู่ชิงปาดเหงื่อเย็นเฉียบ ก่อนจะเอ่ยอย่างนอบน้อม "ข้าตามหานางเจอแล้ว แต่นางไม่ยอมกลับมา ดูเหมือนว่านางจะคำนับชายชราท่าทางไม่แยแสผู้นั้นเป็นอาจารย์ ชายชราผู้นั้นไม่ยอมให้นางยุ่งเกี่ยวกับตระกูลมู่อีก ยิ่งไปกว่านั้นเขายังไม่ไว้หน้าสำนักชิงหยุน ถึงกับกล่าวว่าหากคนของสำนักชิงหยุนมา เขาจะทำให้คนพวกนั้นต้องร่ำร้องขอความเมตตาให้เขาไว้ชีวิต"

เทียนหยวนคลี่ยิ้มเย็น เขาไม่รู้ว่าคำพูดของมู่ชิงเชื่อถือได้แค่ไหน แต่เด็กสาวผู้นั้นต้องเป็นของสำนักชิงหยุนเท่านั้น ผู้ใดก็ไม่อาจแย่งชิงนางไปได้

"บอกข้ามาว่านางอยู่ที่ไหน"

มู่ชิงรู้ว่าเทียนหยวนไม่ได้เชื่อถือคำพูดของเขาทั้งหมด แต่ในยังคงตั้งใจจะแวะไปหานาง ดูเหมือนว่าชายชราผู้นั้นต้องรับผลกรรมที่สาสมแล้ว

เมื่อคิดเช่นนั้น มู่ชิงรีบร้อนบอกที่อยู่ให้แก่เทียนหยวน เทียนหยวนไม่รู้ว่าอู๋หวีมีบ้านพักอยู่ในเมืองเฟิ่งเฉิง เขาย่อมไม่คาดคิดว่าชายท่าทางไม่แยแสผู้นั้นที่จริงแล้วคือท่านอาจารย์อู๋หวี

สายตาของท่านอาจารย์อู๋หวีสูงส่งถึงเพียงไหน? ถึงแม้ว่าพรสวรรค์ของมู่หรูเยว่ไม่ถึงกับแย่ แต่ก็ยังห่างชั้นอีกไกลหากจะอยู่ในสายตาของชายชราผู้นั้น

ภายในเรือนมู่ มู่หรูเยว่ที่เพิ่งตื่นนอนกลับได้พบแขกที่ไม่ได้รับเชิญ

บางทีอาจเป็นเพราะความสัมพันธ์ของเย่เทียนเฟิงและมู่ถิงเอ๋อร์ทำให้นางไม่มีความรู้สึกดีๆต่อเทียนหยวน ในเมื่อนางไม่รู้ว่าเขามาที่นี่ทำไม นางจึงรีบร้อนเรียกสัตว์อสูรของนาง เหยียนจิ้น ออกมา

ไม่นานนัก เงาร่างสีดำพุ่งสู่อ้อมกอดของมู่หรูเยว่ เหยียนจิ้นจ้องมองมู่หรูเยว่อย่างขุ่นเคืองที่เด็กสาวทอดทิ้งเขาไว้ที่ตระกูลมู่เสียนาน และเพิ่งเรียกเขามาในตอนนี้

"เด็กสาวตระกูลมู่ ข้าอยากรับเจ้าเป็นศิษย์ เจ้ามีความคิดเห็นอย่างไร?" เทียนหยวนไม่สนใจจะเหลือบสายตามองสัตว์อสูรสีดำในอ้อมกอดของนางด้วยซ้ำ เขาเพียงแค่จ้องมองเด็กสาวที่อยู่ตรงหน้า

ดูจากท่าทางหยิ่งยะโสของเขา ดูเหมือนว่าสำหรับเขาแล้ว การได้เป็นลูกศิษย์ของเขานับเป็นเรื่องน่ายกย่องเป็นอย่างมาก

"ต้องขอโทษด้วย แต่ข้ามีอาจารย์อยู่แล้ว" มู่หรูเยว่คลี่ยิ้มมุมปาก ก่อนจะหัวเราะอย่างเย็นชา "ดังนั้นข้าจึงไม่อาจคำนับท่านเป็นอาจารย์ได้"

เทียนหยวนขมวดคิ้วครู่หนึ่ง พลางเอ่ย "เรื่องนั้นง่ายมาก ข้าแค่มอบยาเลื่อนระดับปฐพีชั้นต้นให้เขา เพื่อแลกกับการให้เจ้ามาเป็นศิษย์ของข้า ดีหรือไม่?"

ระดับของการปรุงยาถูกแบ่งออกเป็นขั้น เริ่มจากระดับสามัญ ระดับปฐพี ระดับโลกา ระดับสวรรค์ และระดับเซียน การปรุงยาระดับเซียนออกมาได้นั้นเรียกว่าเป็นไปไม่ได้ ขนาดผู้ที่สามารถปรุงยาระดับสวรรค์ออกมาได้นั้นยังสามารถนับได้ด้วยมือข้างเดียว แค่เพียงยาระดับปฐพีก็นับว่าเป็นสิ่งล้ำค่าในหมู่คนทั่วไปแล้ว ดังนั้นเทียนหยวนจึงเชื่อมั่นในยาของเขามาก

"ยาเลื่อนระดับปฐพีชั้นต้นยอดเยี่ยมถึงเพียงนั้นเลยหรือ?" มู่หรูเยว่คลี่ยิ้มให้เทียนหยวน นางสามารถปรุงยาระดับนั้นออกมาได้มากมายในการหลอมยาเพียงครั้งเดียว

"ยาขั้นปฐพีนั้นยอดเยี่ยมมาก ไม่เพียงสามารถรักษาอาการบาดเจ็บ ยังสามารถฟื้นฟูพลังและช่วยเลื่อนระดับวิทยายุทธ์สู่ขั้นถัดไป ตอนนี้อาจารย์ของเจ้าอยู่ที่ไหน? พวกเราไปหาเขากัน"

มู่หรูเยว่รู้สึกขบขันจึงสั่นศีรษะไปมา ในตอนที่นางกำลังจะเอ่ยตอบ น้ำเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากทางหน้าบ้าน "ผู้ใดต้องการพบข้า? เจ้าตามหาข้าทำไม?"

--
โถ.. ท่านผู้เฒ่า ที่แท้ก็โดนทิ้ง ถถถถ

ระดับขั้นของนักปรุงยา:&nbsp; ระดับสามัญ ระดับปฐพี ระดับโลกา ระดับสวรรค์ และระดับเซียน (人阶,地阶,凡阶,天阶,神阶 )   (แก้ไขเมื่อ: 27/11/2016)

บทที่ 64 ท่านอาจารย์อู๋หวีผู้เกรี้ยวกราด

ทันทีที่อู๋หวีก้าวเข้ามาในเรือนมู่ เขาได้ยินว่าใครบางคนกำลังตามหาเขา เขารู้สึกสงสัยเป็นอย่างมากว่าใครกันที่ตามหาเขา เมื่อเขาจ้องมองอีกฝ่ายก็ยิ่งสงสัยมากขึ้น "เทียนหยวน เจ้าตามหาข้าหรือ?"

"อ๊ะ!" เทียนหยวนรู้สึกตะลึงไปครู่ใหญ่ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ "เปล่า... ท่านอาจารย์อู๋หวี ข้าไม่ได้ตามหาท่าน"

'ทำไมท่านอาจารย์ถึงอยู่ที่นี่? หรือว่าเขาตามหาข้าด้วยธุระบางอย่าง? แต่ดูจากสถานการณ์แล้วเหมือนจะไม่ได้เป็นเช่นนั้น'

อู๋หวีจ้องมองเขาอย่างแปลกใจ "เจ้าไม่ได้พูดว่ากำลังตามหาอาจารย์ของนังหนูเยว่หรอกหรือ?"

"ถูกต้อง ข้ากำลังตามหาอาจารย์ของนางอยู่" เทียนหยวนพยักหน้า ฉับพลันก็เริ่มเข้าใจได้ลางๆ เขาเบิกตากว้าง เอ่ยถามอย่างประหลาดใจ "หรือว่าท่านอาจารย์เป็น..."

ไม่จริงใช่หรือไม่? หรือว่าท่านอาจารย์อู๋หวีเป็นอาจารย์ของนาง? จบกัน ครั้งนี้เขาแย่แน่ๆ เจ้าโง่ตระกูลมู่ทำให้เขาต้องเจอปัญหาเสียแล้ว

หน้าผากของเทียนหยวนเต็มไปด้วยเหงื่ออันเย็นเฉียบ เขาสบถด่ามู่ชิงในใจหลายร้อยครั้ง ทำไมเจ้าโง่นั่นถึงไม่อธิบายให้ชัดเจนกว่านี้? ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่กล้าคิดที่จะขโมยลูกศิษย์ของท่านอาจารย์อู๋หวีเป็นแน่

ไม่เพียงเท่านั้นเขายังรนหาที่ตายด้วยการคิดติดสินบนด้วยยาเลื่อนระดับปฐพีชั้นอีก?

"อาจารย์ เมื่อครู่เขากล่าวว่าต้องการรับข้าเป็นศิษย์ด้วยการใช้ยาเลื่อนระดับปฐพีชั้นต้นมาติดสินบนท่าน" มู่หรูเยว่ยักไหล่พลางคลี่ยิ้มมองเทียนหยวนที่สั่นเทาด้วยความกลัว

"ท่าน ท่านอาจรย์อู๋หวี โปรดฟังข้าอธิบายก่อน"

เมื่อเห็นสีหน้าเข้มจัดของอู๋หวีหลังจากได้ยินคำพูดของมู่หรูเยว่แล้ว เทียนหยวนก็รู้สึกเหมือนแข้งขาอ่อนยวบแทบจะคุกเข่าลงตรงหน้า

ในตอนนี้เทียนหยวนรู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่ง เหตุใดเขาจึงไม่ตรวจสอบเรื่องนี้ให้แน่ชัดก่อนค่อยมาที่นี่?

"ท่านอาจารย์ ข้าไม่รู้ว่านางเป็นศิษย์ของท่าน ไม่อย่างนั้นต่อให้กล้ากว่านี้อีกร้อยเท่าข้าก็ไม่กล้าขโมยตัวนางไปจากท่าน" เทียนหยวนสีหน้าเศร้า เขาในตอนนี้ไม่หลงเหลือท่าทางน่าเกรงขามอีกต่อไปแล้ว

"เทียนหยวน เจ้ากล้ายิ่งนัก!" อู๋หวีจ้องมองเทียนหยวนด้วยสายตาโกรธจัด พร้อมทั้งเอ่ยเสียงเกรี้ยวกราด "เจ้ากล้าขโมยศิษย์ของข้าหรือ? ส่วนไหนของเจ้าที่คู่ควรกับการเป็นอาจารย์ของนางบ้าง? ไม่พอเจ้ายังคิดใช้ยาขั้นปฐพีมาติดสินบนข้า? ฝันไปเถอะ! ข้าจะบอกเจ้ารู้ว่าลูกศิษย์ของข้าเป็นยอดอัจฉริยะที่ข้าตามหา นางยอดเยี่ยมขนาดที่สามารถเลื่อนสู่ระดับปฐพีได้ในเวลาไม่กี่เดือน! ในขณะที่เจ้าต้องใช้เวลากว่ายี่สิบปีในการเลื่อนสู่ระดับนั้น! เจ้ามีสิทธิอะไรมาขโมยลูกศิษย์ของข้า?"

ถึงเขาจะรู้อยู่แล้วว่ามีหลายคนจากสำนักชิงหยุนต้องการจะขโมยลูกศิษย์ของเขา แต่เรื่องนั้นกับเรื่องนี้ไม่เหมือนกัน เมื่อได้เห็นเหตุการณ์เกิดขึ้นตรงหน้าเขาก็รู้สึกเกรี้ยวกราดจนแทบจะแยกร่างของเทียนหยวนออกเป็นชิ้นๆ

เทียนหยวนรู้สึกกลัวจนร่างกายสั่นเทาไม่หยุด...

คนไร้ค่าแห่งตระกูลคือยอดอัจฉริยะที่อู๋หวีตามหา? นางคือผู้ที่มีพรสวรรค์ระดับไร้สีและพลังจิตมหาศาลผู้นั้น?

เฟิงเอ๋อร์ทอดทิ้งหญิงที่พิเศษเช่นนี้เพียงเพื่อไปเลือกมู่ถิงเอ๋อร์?

เขาเคยคิดว่ามู่ถิงเอ๋อร์เป็นเด็กสาวที่ไม่เลวนัก แต่เมื่อเทียบกับเด็กสาวผู้นี้แล้วช่างแตกต่างราวฟ้ากับเหว

"ท่านอาจารย์อู๋หวี เป็นพวกตระกูลมู่ยุยงให้ข้ามาที่นี่ ข้าไม่เคยรู้มาก่อนว่านางเป็นศิษย์ของท่าน เห็นแก่ความไม่รู้ของข้า ท่านยอมให้อภัยข้าสักครั้งได้หรือไม่? ต่อไปข้าไม่กล้าทำเช่นนี้อีกแล้ว" เทียนหยวนสีหน้าซีดเผือด นึกอยากกลับไปสั่งสอนเจ้าพวกตระกูลมู่ใจแทบขาด

เป็นเพราะเจ้าโง่นั่นทำให้เขาต้องเจอเรื่องยุ่งยากถึงเพียงนี้...

"โทษตายละเว้นได้ แต่โทษเป็นละเว้นไม่ได้! เจ้าจงกลับไปที่สำนักชิงหยุนเก็บตัวสำนักผิดที่ภูเขาต้องห้ามเป็นเวลาสองเดือน หากไม่มีคำสั่งข้าห้ามออกมา ยังมี... เรื่องที่นางเป็นศิษย์ของข้าห้ามไม่ให้ผู้ใดล่วงรู้เป็นอันขาด รวมถึงศิษย์ของเจ้าด้วย ทางที่ดีเจ้าควรลืมเรื่องในวันนี้ซะ" อู๋หวีแค่นเสียงเย็นชา "หากข้ารู้ว่าเรื่องนี้หลุดออกจากปากเจ้า เพิ่มโทษจากสองเดือนเป็นหนึ่งปี!"

เทียนหยวนร่างกายสั่นสะท้านอีกครา หากต้องเข้าไปที่ภูเขาต้องห้ามล่ะก็ต่อให้เขาไม่ตายก็ไม่แคล้วต้องบาดเจ็บสาหัส....

---
ชูป้ายไฟเชียร์ท่านอาจารย์รัวๆ กู้ดจ๊อบบบค่ะท่านอาจารย์♡ อย่าเพิ่งรีบค้างตอนนี้เพราะถ้าตัดไว้ตอนหน้าค้างกว่าแน่นอน... สองตอนนี้เป็นตอนที่รู้สึกแปลยากมาก ช่วงนี้เริ่มกลับมาเรียนเลิกสามทุ่มตามปกติใกล้จะโดนงานที่พอกไว้ทับตายแหล่ว จะพยายามหาเวลามาลงไม่เกินวันเว้นวันนะคะ

ปล. ไปเจอเวปเทียบเสียงมาเวปนึง ดูน่าสนใจดีค่ะ >> Link << หูตัวเองยังคงเพี้ยนเหมือนเดิม แต่พอเห็นตัวโฟเนติครู้สึกเข้าถึงง่ายขึ้นเยอะเลยค่ะ
posted from Bloggeroid

Last Modified: Monday, November 14, 2016

หมอยาเจ้าเสน่ห์: จอมใจราชาปีศาจ บทที่ 62

บทที่ 62 พวกเราเคยรู้จักกันเมื่อชาติก่อนหรือไม่?


"ชายา เมื่อไหร่เราจะได้เป็นสามีภรรยากันเสียที?"

เย่อู๋เฉินคลี่คลิ้มให้มู่หรูเยว่

ต้องยอมรับว่ารูปลักษณ์อันโดดเด่นของเขาราวกับดวงจันทร์ที่เจิดจรัสบนท้องฟ้า อีกทั้งยังเปรียบเสมือนน้ำพุที่ใสกระจ่าง โดยเฉพาะในยามที่เขายิ้มราวกับจุดประกายให้โลกทั้งใบสว่างไสว

คนที่หล่อเหลาเช่นนี้ ไม่รู้ว่ายามที่ออกไปข้างนอกมีหญิงสาวไม่รู้กี่คนทอดผ้าเช็ดหน้าให้เขาด้วยความหลงไหล แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ว่าเขาคือกุ่ยหวังที่น่าอับอายผู้นั้น?

มู่หรูเยว่จับจ้องใบหน้าหล่อเหลาที่อยู่ใกล้แค่เอื้อม นางสึกได้ถึงลมหายใจร้อนๆของเขา รู้สึกกระดากอายจึงหันไปมองทางอื่น พลางเอ่ย "อู๋เฉิน เจ้ารู้หรือว่าสามีภรรยาหมายความว่าอย่างไร?"

"รู้สิ เสด็จพ่อเคยสอนข้า" เย่อู๋เฉินทำราวกับไม่รู้ว่ามู่หรูเยว่รู้สึกขัดเขิน เขาขยับกายเข้าใกล้นางยิ่งขึ้น "เสด็จพ่อกล่าวว่า สามีต้องรักใคร่เอ็นดูภรรยา ชั่วชีวิตสามารถแต่งภรรยาได้เพียงคนเดียว ไม่ว่าภรรยากล่าวอะไรย่อมถูกต้องเสมอ ต่อให้ผิดก็ยังถูก อีกทั้งต้องเชื่อฟังคำสั่งภรรยาทุกอย่าง หากใครรังแกภรรยาของเขา เขาต้องปกป้องห้ามไม่ใครว่าร้ายต่อนาง ห้ามไม่ให้นางร้องไห้แม้เพียงหยดเดียว ต้องทำให้นางมีความสุขเสมอ"

เย่อู๋เฉินนัยน์ตาเป็นประกาย จับจ้องมู่หรูเยว่ตาไม่กระพริบ "ชายา ข้าสามารถซักเสื้อผ้าทำอาหารให้ท่าน ท่านจะยอมอยู่กับข้าที่ตำหนักหรือไม่?"

"อู๋เฉินมีเรื่องหนึ่งที่ข้าต้องบอกเจ้า" มู่หรูเยว่วางมือบนไหล่ของเย่อู๋เฉิน เอ่ยเสียงจริงจัง "ข้าไม่ใช่คนดี ก่อนหน้านี้มือของข้าแปดเปื้อนไปด้วยเลือด ในอนาคตก็คงไม่ต่างกัน เจ้าเป็นเหมือนกระดาษที่ขาวสะอาด ข้าไม่อยากให้ความบริสุทธิ์ของเจ้าต้องแปดเปื้อน เจ้าเข้าใจหรือไม่?"

สะอาดบริสุทธิ์...?

เย่อู๋เฉินรู้สึกอยากหัวเราะ นับจากวันที่เสด็จพ่อเสด็จแม่เสียชีวิตคืนนั้น ชีวิตของเขาก็ถูกกำหนดไว้แล้วว่าไม่มีทางบริสุทธิ์ได้อีกต่อไป หากไม่เพราะอีกฝ่ายมีกำลังกล้าแข็งมาก เขาคงไม่จำเป็นต้องแกล้งโง่มาหลายปี

เขาเงยหน้าขึ้นจับจ้องมู่หรูเยว่ ด้วยสายตาแน่วแน่อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

"ชายา ถ้าท่านฆ่าคน ข้าก็จะฆ่าร่วมกับท่าน หากท่านเดินในเส้นทางเปื้อนเลือด ข้าก็จะเดินไปพร้อมกับท่าน ข้าจะไม่ยอมให้ใครรังแกชายาของข้าเด็ดขาด"

เพื่อการณ์นั้น ต่อให้ต้องสังหารทั่วทั้งสวรรค์และแดนมนุษย์แล้วอย่างไร?

มู่หรูเยว่อย่างไรก็เป็นผู้หญิงย่อมรู้สึกประทับใจกับคำพูดนั้น แม้ว่านางจะยังรู้จักเย่อู๋เฉินได้ไม่นานก็ยังรับรู้ได้ว่าเขาปฏิบัติกับนางเป็นอย่างดี

ถึงแม้เขาจะไม่แข็งแกร่งเช่นคนอื่นๆ แต่ความตั้งใจนั้นเป็นของจริง....

"อู๋เฉิน ขอเวลาให้ข้าคิดเรื่องนี้สักหน่อย"

"ได้ ข้าเชื่อทุกอย่างที่ชายาพูด" เย่อู๋เฉินคลี่ยิ้มออกมา

ในตอนนั้นเอง มู่หรูเยว่พลันถูกเย่อู๋เฉินกดร่างลงกับเตียงกะทันหันเสียจนนางรู้สึกตกใจ เมื่อนางเหลือบตาขึ้น ใบหน้าหล่อเหลาที่อยู่ใกล้มากก็ปรากฏสู่สายตา

นัยน์ตาของเด็กหนุ่มดูใสกระจ่างไร้ซึ่งความคิดชั่วร้ายแอบแฝง ทำให้มู่หรูเยว่ค่อยสงบลง

"ชายา พวกเราเคยรู้จักกันเมื่อชาติก่อนหรือไม่?"

มู่หรูเยว่ยังคงตกตะลึง ก่อนที่จะได้เอ่ยตอบเย่อู๋เฉินก็ก้มลงจูบที่ริมฝีปากของนางอย่างรวดเร็ว พลางเอ่ยอย่างพึงพอใจ "ชายา ตัวท่านหอมจัง"

มู่หรูเยว่รู้สึกเหมือนโดนฟ้าผ่า ตกตะลึงไปชั่วขณะ ยังดีที่เย่อู๋เฉินไม่ได้พยายามที่จะล่วงเกินนางต่อ เขาแค่ทิ้งกายลงบนร่างและนอนหลับไปทั้งแบบนั้น

เห็นท่าทางหลับอย่างมีความสุขของเด็กหนุ่ม มู่หรูเยว่อดไม่ได้คลี่ยิ้มออกมา ช่วงเวลาแบบนี้ช่างดีเหลือเกิน นางรู้สึกผ่อนคลายและปลอดภัยยามที่ได้อยู่ใกล้เขา...

-------
ส่ง #องค์ชายสายแอ๊บ ว่าที่พ่อบ้านใจกล้า มาให้ฟินจิกหมอน กว่านางเอกจะรู้ความจริงก็อีกนานเลยค่ะ (ราวตอนที่ 120++ มั้งคะ) อู๋เฉินยังมีเวลาให้แอ๊บอีกพักใหญ่ๆ ปล่อยนางได้ใจไปก่อน ฮ่าๆ...

ปล. ตอนต่อไปเป็นช่วงท่านอาจารย์เทียนหยวนแล้ว ตั้งใจจะแปลรวบ 2-3 ตอนก่อนค่อยลงทีเดียว คาดว่าน่ามาลงจะวันพุธนะคะ ^^

ปล2 จะมีการแก้ชื่อตัวละครอีกโล้ววว ตบตีเพื่อนไปแล้วรอบนึงทำไมไม่ยอมทักทีเดียว ไม่ต้องแก้หลายๆรอบ จะขอแก้ชื่อท่านผู้เฒ่า 炎烬 จากหยางจิ่น เป็น เหยียนจิ้นนะคะ ทำใจนิดนึง เพราะคนแปลอ่านพินอินไม่ออก ดูออกแค่ความหมาย เห็นอะไรคล้ายๆไฟพี่นี่หยางไปก่อนเลย *โดนตบ* เอาเป็นว่าถ้าว่างจะกลับไปทยอยแก้ตอนเก่าๆนะคะ

Last Modified: Sunday, November 13, 2016

หมอยาเจ้าเสน่ห์: จอมใจราชาปีศาจ บทที่ 61

บทที่ 61 สัญญาชั่วชีวิต


เคร้ง!

ภายในห้อง มู่อี้เสี่ยปัดชุดเครื่องชาบนโต๊ะลงมากับพื้นก่อนจะฟุบหน้าลงร้องไห้คร่ำครวญ ตามจริงแล้วนางควรจะดูเหมือนสาวงามร่ำไห้ราวกับหยาดฝนที่หล่นบนดอกหลีฮวาที่ตรึงใจผู้คน แต่หากตอนนี้ใบหน้าของนางบวมปูดราวกับสุกรกลับทำให้ผู้คนรู้สึกขนลุกอย่างหวาดผวา

"มู่หรูเยว่! ต้องเป็นฝีมือของนังนั่นแน่ๆ!"

นอกจากนังนั่นแล้วจะมีผู้ใดทำแบบนี้กับนางอีก?

นางต้องเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้แน่ๆ!

/////

เรือนมู่นั้นเงียบสงบแตกต่างจากตระกูลมู่ที่เต็มไปเสียงอึกทึกครึกโครม มู่หรูเยว่พลิกกายบนเตียง และบังเอิญสัมผัสถูกสิ่งที่ไม่คุ้นเคย

นางค่อยๆลืมตาขึ้น...

ใบหน้าหล่อเหลาที่สามารถสยบให้ผู้คนอยู่แทบเท้าปรากฏสู่สายตา นัยน์ตาที่ใสซื่อจ้องมองพลางคลี่ยิ้มให้นาง พวกเขาอยู่ใกล้กันมากกระทั่งมู่หรูเยว่รู้สึกได้ถึงลมหายใจของเย่อู๋เฉิน

"เย่อู๋เฉิน ทำไมเจ้ามาอยู่บนเตียงข้า?"

มู่หรูเยว่ผุดลุก ใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดงเรื่อ นางลอบบอกตัวเองว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงเด็กที่ยังไม่โต บังคับหัวใจที่เต้นรัวของตัวเองให้สงบลง

"ข้าแค่อยากนอนกับชายา ก็เลยมา..." เย่อู๋เฉินทำสีหน้าราวกับเด็กที่ถูกดุ เขาก้มศีรษะพลางเอ่ย "ชายา ท่านอย่าโกรธข้าได้ไหม?"

ไม่รู้ว่าด้วยเหตุใด ยามที่เห็นเย่อู๋เฉินแสดงท่าแบบนี้ทีไรมู่หรูเย่กลับรู้สึกใจอ่อน...

"อู๋เฉิน พวกเรายังไม่ได้แต่งงาน ดังนั้นพวกเราจึงไม่ควรนอนเตียงเดียวกัน"

"อย่างนั้น ชายา ท่านรีบแต่งงานกับข้าเร็วๆได้ไหม?" เย่อู๋เฉินเงยหน้า​ ใช้สายตาเป็นประกายจ้องมองมู่หรูเยว่อย่างคาดหวัง "ชายา แต่งงานกับข้า! เราจะได้นอนด้วยกัน!"

ถึงแม้คำว่านอนด้วยกันสามคำนี้จะชวนเข้าใจผิดง่ายๆ แต่มู่หรูเยว่รู้ดีว่าเขาหมายความตามนั้นจริงๆ

"ทำไมเจ้าถึงยืนกรานจะนอนด้วยกันให้ได้?" มู่หรูเยว่เลิกคิ้ว เย่อู๋เฉินใสซื่อบริสุทธิ์เกินไป เขาเป็นแค่เด็กหนุ่มที่ยังไม่โต ขณะที่มือของนางแปดเปื้อนเลือดมาตั้งแต่ชาติก่อน และเป็นไปได้ว่าเหตุการณ์จะซ้ำรอยเดิมในชาตินี้

เขาเป็นชายที่ดีพร้อมเสียจนนางไม่อยากทำให้เขาแปดเปื้อน

"นั่นเพราะ ข้าอยากปกป้องชายา" เย่อู๋เฉินก้มหน้า เม้มริมฝีปาก "เสด็จพ่อเสด็จแม่เสียชีวิตในคืนนั้น ทิ้งข้าไว้คนเดียว ข้าไม่อยากให้ชายาทิ้งข้าไปเหมือนพวกเขา ข้าไม่อยากถูกทิ้งไว้คนเดียวอีก"

"อู๋เฉิน" มู่หรูเยว่จ้องมองเขาอย่างอ่อนโยน นางเลื่อนมือไปลูบเรือนผมของเย่อู๋เฉิน พลางเอ่ย "ไม่ต้องเสียใจ ข้าไม่ทิ้งเจ้าหรอก"

เย่อู๋เฉินกระพริบตา เงยหน้าขึ้นจ้องมองมู่หรูเยว่ ใบหน้าของเขาดูเปล่งประกายไม่ต่างจากนัยน์ตาของเขา

"ชายา ข้าไม่ได้เสียใจ แม่นมบอกว่าเสด็จพ่อเสด็จแม่ถูกเทพนำตัวไป ทำไมเขาต้องขโมยเสด็จพ่อเสด็จแม่ของข้าไปด้วย? เขายังคิดจะขโมยชายาของข้าอีกหรือ? ต่อให้ปีศาจมา ข้าก็ไม่ยอมให้เขาแย่งชายาของข้าไป ชายาของข้าย่อมเป็นของข้า"

ถึงน้ำเสียงของเขาจะฟังดูไร้เดียงสา แต่คำพูดเหล่านั้นแฝงด้วยความเผด็จการอยู่หลายส่วน

มู่หรูเยว่ถอนใจออกมา นางไม่รู้ว่ายามนี้ควรตอบอะไรเขาดี ได้ยินว่าเย่อู๋เฉินมีพรสวรรค์ล้ำเลิศตั้งแต่เด็ก หากไม่เพราะเหตุการณ์เหนือความคาดหมายในครั้งนั้น ป่านนี้เขาคงเติบโตกลายเป็นบุคคลที่โดดเด่นไปแล้ว

"อู๋เฉิน" มู่หรูเยว่หรุบสายตาลงเล็กน้อย "ต่อให้ปีศาจมา ข้าก็จะไม่ไปกับเขา นี่เป็นสัญญาที่ข้าให้ต่อเจ้า สัญญาชั่วชีวิต..."

มู่หรูเยว่ไม่เคยสัญญาอะไรออกมาง่ายๆ เมื่อนางสัญญาแล้วย่อมต้องรักษาสัญญานั้นไปตลอดชีวิต


-----
#องค์ชายสายแอ๊บ อู๋เฉินคนดีคนเดิมวันนี้มาแบบใสๆ​ อนุญาตให้ฟินจิกหมอน+หยิกพระเอกได้ หมั่นไส้เบอร์แรงงง

ปล. วันนี้อยู่บ้านมีเวลาแต่งรูปที่ดองไว้กองพะเนิน เดี๋ยวค่อยแปลต่อช่วงอู้ที่ทำงาน  #ผิด​

posted from Bloggeroid

Last Modified: Saturday, November 12, 2016

หมอยาเจ้าเสน่ห์: จอมใจราชาปีศาจ บทที่ 60

บทที่60 มู่อี้เสี่ยผู้น่าสงสาร


ไม่มีผู้ใดในสำนักชิงหยุนที่ไม่รู้จักนิสัยของชายชราผู้นี้ เขาไม่ใช่คนที่สามารถพูดคุยด้วยเหตุผล ผู้อื่นไม่หาเรื่องเขาก็แล้วไป แต่หากไปหาเรื่องเขา ไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นใคร เขาก็ไม่มีทางใช้เหตุผลด้วย นอกจากนี้เขายังมีนิสัยชอบปกป้องคนที่เขาถูกชะตา...

มีครั้งหนึ่งที่ผู้ติดตามของเขาถูกลักพาตัวตอนที่ไปเก็บสมุนไพร ชายชราผู้นี้รีบร้อนบุกไปที่บ้าน ก่อนที่คนผู้นั้นจะได้ขอขมาก็ถูกเขาถูกทุบตีจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด

นับจากนั้นเป็นต้นมา ถึงแม้จะเป็นแค่ผู้ติดตามแสนต่ำต้อยคนหนึ่ง หากมีสัญลักษณ์ของสำนักชิงหยุนติดอยู่แล้วย่อมไม่มีผู้ใดกล้ายุ่งกับพวกเขา

"ท่านบังอาจเกินไปแล้ว!" มู่ชิงขบกรามแน่น เอ่ยอย่างฉุนเฉียว "เมืองเฟิ่งเฉิงไม่ใช่ของท่าน อย่าลืมว่าช่วงนี้คนของสำนักชิงหยุนยังอาศัยอยู่ในเมือง ข้ามีสัมพันธ์อันดีกับคนในสำนักชิงหยุน หากท่านไม่ขอโทษบุตรสาวข้า ข้าจะให้คนจากสำนักชิงหยุนเรียกร้องความเป็นธรรมให้ข้า!"

สำนักชิงหยุน?

มู่หรูเยว่อดไม่ได้คลี่ยิ้มออกมา นี่ไม่เรียกว่ายกหินขึ้นมาแต่กลับหล่นทับขาตัวเองหรอกหรือ? ในสำนักชิงหยุนมีผู้ใดบ้างที่กล้ามีเรื่องกับอู๋หวี๋เพื่อมู่ชิง

"ฮ่าฮ่าฮ่า!" อู๋หวี๋เงยหน้าขึ้น หัวเราะเสียงดัง "เยี่ยม เยี่ยมมาก ข้าจะรอคนพวกนั้นมาจัดการข้าแทนเจ้า คนพวกนั้นก็แค่สวะจากสำนักชิงหยุน ข้า อู๋หวี๋ มีหรือจะเกรงกลัวคนพวกนั้น?"

เมื่อเปรียบเทียบกับอู๋หวี๋ คนอย่างเทียนหยวนมีค่าไม่ต่างกับสวะ เขาจึงไม่เคยนำเรื่องนั้นมาใส่ใจ ต่อให้เทียนหยวนมีความกล้ากว่านี้อีกสิบเท่า ก็ยังไม่กล้ามีปัญหากับเขา

สุดท้ายแล้วเทียนหยวนก็ยังไม่ใช่ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในสำนักชิงหยุน

"พวกเจ้า!" มู่ชิงแค่นเสียงเย็นชา หันหน้าไปทางมู่อี้เสี่ยพลางเอ่ย "เสี่ยเอ๋อร์ พวกเรากลับ!"

เขาปฏิบัติตัวกับชายชราอย่างสุภาพ แต่ชายชรากลับไม่ไว้หน้าถึงกับทุบตีบุตรสาวต่อหน้าเขา นี่ไม่เท่ากับจงใจหาเรื่องกันหรือ?

บางทีคนผู้นี้อาจจะแข็งแกร่งจริงๆ แต่จะเหนือไปกว่าความแข็งแกร่งของสำนักชิงหยุนไปได้อย่างไร? หากเขาขอความช่วยเหลือจากท่านอาจารย์เทียนหยวน มีหรือจะไม่มีปัญญาสั่งสอนคนผู้นี้?

ในตอนนี้ มู่ชิงไม่รู้ว่าคนที่เขาได้ล่วงเกินไปนั้นเป็นคนที่แม้แต่เทียนหยวนก็ยังไม่กล้าล่วงเกิน ไม่อย่างนั้นต่อให้มู่ชิงมีความกล้ากว่านี้อีกร้อยเท่า ก็ยังไม่กล้าทำตัวเหิมเกริมต่อหน้าชายชราถึงเพียงนี้

"ท่านพ่อ เราจะปล่อยไว้แบบนี้หรือ?" มู่อี้เสี่ยเอ่ยถามอย่างโกรธจัด

"ปล่อยไว้? ปล่อยได้อย่างไร? ข้ารู้สึกได้ถึงพลังงานที่โคจรในร่างของชายชรา แต่ข้าไม่อาจรู้ได้ว่าอีกฝ่ายฝึกปรือถึงขั้นไหน เหตุผลเดียวที่เป็นไปได้คือคนผู้นี้แข็งแกร่งยิ่งกว่าข้า ข้าไม่อาจล่วงเกินคนผู้นี้แต่ย่อมมีคนอื่นที่ทำได้ วางใจเถอะ! ข้าสาบานว่าจะหาทางล้างแค้นให้เราสองพ่อลูก!"

มู่ชิงยังคงนึกเสียใจที่พามู่อี้เสี่ยตามมาด้วย หากไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ทำให้มู่หรูเยว่ขุ่นเคืองถึงเพียงนี้

//////

ค่ำคืนนั้น แสงจันทร์ส่องผ่านกิ่งไม้ สาดลอดเข้ามาในห้องเป็นแสงสลัวๆ

เงาร่างสีเงินลอบเข้ามาจากทางหน้าต่าง แววตาชั่วร้ายจับจ้องเด็กสาวที่นอนหลับอย่างสงบอยู่บนเตียง ฉับพลันเด็กสาวคล้ายจะรู้สึกได้ถึงบางสิ่งจึงลืมตาขึ้น ในขณะเดียวกันผ้าฉุนกึกก็ถูกยื่นมาปิดปากของนาง ตามมาด้วยหมัดที่กระหน่ำลงมาราวพายุ...

วันต่อมาผู้คนทั่วทั้งร้านตลาดต่างก็พูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น...

"นี่ ได้ยินหรือเปล่า? เมื่อคืนคุณหนูสามตระกูลมู่ มู่อี้เสี่ยถูกคนลอบทำร้าย จุ๊ จุ๊ จุ๊! ไม่รู้ว่านางไปล่วงเกินผู้ใดเข้าจึงถูกทุบตีจนสาหัส ใบหน้าบวมปูดอย่างกับหมูแน่ะ"

"คุณหนูสามตระกูลมู่ หยิ่งยะโสอวดดี เอาแต่ใจมาตลอด นางล่วงเกินใครต่อใครมากมาย บางทีครั้งนี้นางอาจล่วงเกินบุคคลที่ไม่ควรล่วงเกินเข้าถึงได้มีผลตามมาเช่นนี้ ฮ่าฮ่าฮ่า!"

"เกิดเป็นคนต้องรู้จักอ่อนน้อมถ่อมตัว ไม่อย่างนั้นจะลงเอยอย่างคุณหนูสามตระกูลมู่ ล่วงเกินบุคคลที่ไม่ควรล่วงเกินเข้า..."

----
อู๋เฉินสายแอ๊บคนดีคนเดิม ค่าตัวแพงเหลือเกิน แวบไปแวบมายังกับผี

TL: ต้องทำใจต้นฉบับแต่ละตอนมาทีละสั้นแค่นี้ เราก็ไม่สามารถแปลยืดให้ถึง 4-5 หน้าได้เหมือนกันค่ะ เข้าใจว่าคนเขียนตอนละสั้นๆเพื่อสามารถอัพเดตได้ทุกวัน ถ้าอัพวันละตอนจริงๆเราก็ทำได้นะ ฮา แต่วันละหลายๆตอนที่เกินความสามารถไปนิดนึง เพราะภาษาเราก็ไม่ได้แข็งแรงขนาดนั้น ยังต้องเพิ่งแอพ Pleco ใช้อยู่เลย ก็แปลออกมาเป็นคำต่อคำนั่นแหละค่ะ เน้นถึกเข้าว่า บทไหนที่คำยากมากๆก็แถ.. เอ้ย ถามเพื่อนนานเหมือนกันค่ะ หากเพื่อนๆที่ตามอ่านต้นฉบับแล้วพบว่าส่วนไหนที่แปลคลาดเคลื่อนมากๆช่วยกันท้วงมาได้ค่ะ บางทีก็ complicated เกินจนไม่มั่นใจความหมายเหมือนกันค่ะ

นิยายเรื่องนี้ขอยกเครดิตให้ เพื่อนเฟย์ที่ยอมตอบไลน์(แทบจะทันที)ทุกครั้งที่เราสรรหาปัญหาโลกแตกไปถาม คือฮีไม่ชอบอ่านนิยายแต่ก็ยอมตอบทุกครั้งเลย โอยย... เกรงใจมาก แต่ก็ยังหน้าด้านถามต่อไป #ผิด

ปล. ใครมีแอพแนะนำที่สามารถอัพบทความขึ้นเด็กดีผ่านทางแอนดรอย์โดยไม่ต้องทะเลาะกับเวปแฟลชบ้างไหมคะ พอตอนมันเริ่มเยอะๆแล้วกว่าจะสไลด์ กว่าจะจิ้มโดนชื่อตอนนี่วืดแล้ววืดอีก  T_T

ปล2. นั่งหง่าวมาหลายชม.แล้ว เมื่อไหร่จะซ้อมเสร็จซักที ง่วงงง!!!

posted from Bloggeroid

หมอยาเจ้าเสน่ห์: จอมใจราชาปีศาจ บทที่ 59

บทที่59 มู่อี้เสี่ยโดนทำโทษ


"เจ้าว่าข้าเป็นขอทานหรือ?" อู๋หวี๋ชี้จมูกตัวเอง เอ่ยถามอีกครั้ง

เขาแค่ทำเตาหลอมระเบิดโดยบังเอิญเลยทำให้อยู่ในสภาพที่ย่ำแย่แบบนี้ นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาถูกหาว่าเป็นขอทาน

ขอทานที่ไหนทั้งหล่อเหลาและสง่างามอย่างเขากัน?

"ที่จริงเจ้าไม่ได้เป็นแค่ขอทาน แต่ยังเป็นคนบ้าอีกด้วย" มู่อี้เสี่ยเอ่ยเสียงขึ้นจมูก สิ่งที่นางรังเกียจที่สุดในชีวิตก็คือพวกขอทานสกปรก

คนพวกนั้นเป็นแค่ขยะที่รกโลก ไม่สมควรจะมีชีวิตอยู่อีกต่อไป

มู่ชิงขมวดคิ้วใช้สายตามองสำรวจอู๋หวี ชายชราผู้นี้แม้จะแต่งกายด้วยชุดขาดๆ แต่ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงรู้สึกว่าชายชราผู้นี้ไม่ใช่คนธรรมดา

คนเราไม่ควรล่วงเกินผู้อื่น หากยังไม่ล่วงรู้ถึงกำลัง ความสามารถของอีกฝ่ายแน่ชัด

นั่นเพราะในดินแดนแห่งนี้มียังคนแข็งแกร่งมากมายที่มีนิสัยชอบแต่งกายเป็นขอทาน...

"อาวุโสท่านนี้ บุตรสาวข้าไม่รู้ความ เห็นแก่ที่นางยังเด็กขอผู้อาวุโสอย่าถือสานางเลย"

ว่ากันตามตรงแล้ว ผู้แข็งแกร่งย่อมไม่รังแกผู้ที่อ่อนแอกว่า ที่สำคัญอีกฝ่ายเป็นเพียงเด็กสาวอายุสิบสามปี แต่อู่หวี๋มีนิสัยประหลาด เขาไม่สนว่าอีกฝ่ายจะแข็งแกร่งหรืออ่อนแอกว่า หากคิดรังแกศิษย์ของเขาล้วนไม่ใช่เรื่องดี

"พวกเจ้ามาที่นี่ทำไม?" อู๋หวีจ้องมองพวกเขาราวกับมองสุนัขป่า เขายังไม่ลืมเรื่องที่ตระกูลมู่กระทำเรื่องไร้ยางอายไว้ขนาดไหน หากศิษย์รักของเขาโดนพวกนั้นรังแกอีกเล่า?

"ผู้อาวุโส" หลี่ลู่เหลือบสายตามองมู่ชิง ก่อนจะเดินไปยืนข้างอู๋หวี๋ เขาเงยหน้า พลางเอ่ย "เมื่อครู่ประมุขตระกูลมู่ต้องการบังคับนายหญิงให้กลับไปที่ตระกูลมู่ แต่นายหญิงไม่ยินยอม หากผู้อาวุโสมาไม่ทันเวลา เกรงว่าประมุขตระกูลมู่คงใช้กำลัง..."

เขาเห็นการกระทำของมู่ชิงอย่างชัดเจน จึงไม่ลืมที่จะรายงานออกไป

"โอ้..." อู๋หวี๋เลิกคิ้ว ดูเหมือนเขาจะคาดเดาความหน้าด้านของตระกูลมู่น้อยเกินไป นังหนูเยว่ถูกมู่ชิงขับไล่ออกจากบ้าน ตอนนี้คนผู้นั้นกลับต้องการจับตัวนางกลับไป โลกนี้ยังมีคนหน้าด้านไร้ยางอายเช่นนี้อยู่อีกหรือ?

"แล้วอย่างไร? บิดาอุตส่าห์เกลี้ยกล่อมบุตรสาวกลับบ้าน นางไม่เพียงไม่สำนึก ยังพูดจาจองหองอีกต่างหาก" มู่อี้เสี่ยถูกเลี้ยงอย่างตามใจมาตั้งแต่เด็ก นางจึงปฏิบัติตัวต่ออู๋หวี๋ไม่ต่างอะไรกับขอทาน นางไม่เข้าใจว่าทำไมบิดาต้องปฏิบัติต่อขอทานอย่างสุภาพเช่นนี้ ช่างน่าอับอายจริงๆ

เพี๊ยะ!

อู๋หวีสีหน้าเข้มจัด เขายกมือตบแก้มของมู่อี้เสี่ย รอยแดงๆห้านิ้วปรากฏชัดที่ใบหน้าของนางทันที และก่อนที่นางจะทันได้ตอบโต้ ปัง! ร่างของนางก็ถูกเตะลอยไปในอากาศ

"เสี่ยเอ๋อร์!" มู่ชิงสีหน้าซีดเผือด ร้องออกมาอย่างตระหนก

มู่อี้เสี่ยร่วงกระแทกพื้นอย่างแรง เจ็บจนน้ำตาร่วงพรู นางถูกเลี้ยงดูอย่างตามใจตั้งแต่เด็กจนโต มีครั้งไหนบ้างที่ถูกทุบตีหนักถึงขนาดนี้?

ยิ่งไปกว่านั้น อีกฝ่ายที่ทุบตีนางเป็นแค่ขอทานคนหนึ่ง...

"เจ้าตบข้าหรือ? เจ้าขอทานหน้าเหม็นกล้าตบข้าหรือ? ข้าจะให้ท่านพ่อฆ่าเจ้า!" มู่อี้เสี่ยลุกขึ้นยืน ผมเผ้าของนางยุ่งเหยิง สายตาของนางเต็มไปด้วยความแค้นเคือง ความเจ็บที่ร้าวระบมไปทั่วร่างทำให้น้ำตาของนางไหลออกมาไม่หยุด ใบหน้าที่เคยน่ารักน่าเอ็นดูดูน่ากลัวขึ้นหลายส่วน

"เสี่ยเอ๋อร์!" มู่ชิงเอ่ยเสียงเข้ม เขาจ้องมองอู๋หวีด้วยสีหน้าเครียด "ผู้อาวุโส ถึงบุตรสาวข้าจะยังไม่รู้ความก็ไม่ควรถูกคนภายนอกสั่งสอน ยิ่งไปกว่านั้น ท่านเป็นผู้ใหญ่กลับมารังแกเด็กสาวคนหนึ่ง ท่านไม่รู้สึกว่าทำเกินไปหรือ?"

"ฮ่าฮ่า!" อู๋หวีหัวเราะเสียงดัง เรือนผมสีขาวปลิวสยายกับสายลม เขาเลื่อนสายตาจับจ้องมู่ชิง พลางเอ่ย "ทำเกินไป? เทียบกับเจ้าที่ทอดทิ้งกระทั่งลูกสาวในไส้ ใครกันแน่ที่ทำเกินไป? ข้าอยากตีใครข้าก็ตี ใครกล้าไม่เห็นด้วยกับข้า? ต่อให้เป็นเจ้าก็ไม่ละเว้น"

------------
TL: ตามที่แอบแจ้งไว้ค่ะ มีการแก้ไขคำสะกดของ หวูเฉิน เป็น อู๋เฉิน และ หวูหยู เป็น อู๋หวี๋ เพื่อให้ตรงกับเสียงอ่านในภาษาจีนมากขึ้นนะคะ

ปล. ลงไว้แก้ค้าง ไม่รู้จะช่วยได้ไหม หลังๆรู้สึกค้างทุกตอน... ไปตบคนเขียน อย่าตบเก๊าา
posted from Bloggeroid

Last Modified: Friday, November 11, 2016

หมอยาเจ้าเสน่ห์: จอมใจราชาปีศาจ บทที่ 58

บทที่ 58 ขอทานผู้นี้มาจากไหน?


มู่อี้เสี่ยโกรธจนหน้าแดงจัด ในตอนที่นางคิดจะเถียงกลับมู่ชิงก็เอ่ยปรามเสียงดุ "เสี่ยเอ๋อร์!"

เสี่ยเอ๋อร์มีนิสัยใจร้อนวู่วามจนลืมจุดประสงค์ของการมาในครั้งนี้

ถึงแม้นางจะโกรธจัด แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากข่มความโกรธเอาไว้ในใจ จับจ้องมู่หรูเยว่ที่นั่งอยู่เงียบๆด้วยสายตามาดร้าย แต่ไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีก

"เยว่เอ๋อร์ เสี่ยเอ๋อร์ใจร้อนวู่วาม เจ้าเป็นพี่สาวของนางก็อย่าถือสาเลยนะ" มู่ชิงหันไปมองมู่หรูเยว่ เอ่ยอย่างรู้สึกผิด "ก่อนหน้านี้พ่อทำให้เจ้าต้องเสียใจ วันนี้ข้ามาตามเจ้ากลับบ้าน วางใจเถอะ ต่อไปข้าจะชดใช้คืนให้เจ้า พวกเรากลับบ้านกันดีหรือไม่?"

มู่ชิงจ้องมองมู่หรูเยว่อย่างจริงใจ คนที่ไม่รู้จักเขาคงเข้าใจผิดว่า เขาเป็นบิดาแสนดีที่ถึงกับยอมลดฐานะตัวเองเพื่อมาเกลี้ยกล่อมลูกสาวให้กลับบ้าน

แต่มีหรือที่มู่หรูเยว่จะยอมเชื่อเขาง่ายๆ?

มู่หรูเยว่หัวเราะออกมาเบาๆ นัยน์ตาของนางแฝงไปด้วยความเย็นชา "หลี่ลู่ ส่งแขก! ข้าไม่ต้อนรับคนของตระกูลมู่ที่นี่"

"ขอรับ นายหญิง"

หลี่ลู่รู้สึกไม่พอใจคนพวกนี้ตั้งแต่คราแรก หากไม่เป็นเพราะคำสั่งของมู่หรูเยว่ เขาคงจับคนพวกนี้โยนออกไปนอกบ้านแล้ว

มู่ชิงสีหน้าเปลี่ยน เขาคิดไม่ถึงว่าขนาดเขายอมลดฐานะตัวเองมาชวนนางกลับบ้าน นางจะยังไม่ยอมกลับ

"ประมุขตระกูลมู่ คุณหนูสาม ทำไมท่านยังอยู่ที่นี่อีก? ไม่ได้ยินที่นายหญิงพูดหรือ? หรือต้องให้นายหญิงของข้ามือเปื้อนเลือดก่อนถึงจะยอมจากไป?" หลี่ลู่ขมวดคิ้ว เอ่ยอย่างไม่พอใจ

สีหน้าของมู่ชิงเข้มขึ้น "คุณชายหลี่ ถึงแม้ท่านจะเป็นบุตรชายท่านแม่ทัพ ท่านก็ไม่ควรเข้ามายุ่งกับเรื่องภายในตระกูลมู่"

"นั่นสินะ ข้าจะยุ่งเรื่องภายในตระกูลท่านไปทำไม?" หลี่ลู่แสร้งทำเป็นสับสน ราวกับไม่รู้เรื่องรู้ราวที่เกิดขึ้น "ข้าแค่ช่วยนายหญิงไล่คนไร้ยางอายออกจากบ้าน นี่เกี่ยวข้องอะไรกับตระกูลมู่ของท่าน? นายหญิงของข้าไม่ใช่คนของตระกูลมู่เสียหน่อย"

"เจ้า!" มู่ชิงสีหน้าถอดสี ความรู้สึกอยากฆ่าคนแล่นไปทั่วทั้งร่าง "เยว่เอ๋อร์ เจ้ายืนกรานจะไม่ตามพวกเรากลับตระกูลมู่?"

มู่หรูเยว่หาวหวอด นางเหลือบตามองมู่ชิงอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว นางไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไร มู่ชิงก็สามารถคาดเดาคำตอบจากท่าทางของนางได้

ในเมื่อนางไม่ยินยอม เขาก็คงได้แต่ใช้วิธีนั้น...

นัยน์ตาของมู่ชิงเปล่งประกายวาบ ในตอนที่เขาคิดจะใช้กำลังบังคับนางกลับบ้าน น้ำเสียงรีบร้อนหนึ่งก็ดังขึ้น "ศิษย์ข้า ศิษย์รักของข้า! ให้ข้ายืมเตาหลอมของเจ้าหน่อยเร็ว!"

ชายชราเดินเข้ามาหามู่หรูเยว่อย่างรวดเร็ว

ชายชราผู้นี้แต่งตัวแปลกตา หนวดสีขาวของเขาพันกันยุ่งเหยิงราวกับเพิ่งออกมาจากกองขยะ
ทั่วร่างของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่น และนำกลิ่นฉุนๆติดตัวมาด้วย

มู่อี้เสี่ยขมวดคิ้วโก่งงาม โบกมืออย่างทนไม่ไหว น้องเอ่ย "ขอทานผู้นี้มาจากไหนกัน? ทั้งสกปรกและน่ารังเกียจถึงเพียงนี้ ยังกล้ามาอยู่ใกล้ข้าอีก!"

"ขอทาน?"

เมื่อได้ยินคำพูดนั้น ชายชราหยุดฝีเท้า ก่อนจะหันไปมองมู่อี้เสี่ยที่หน้าตาน่าเอ็นดู เขากระพริบตาทีหนึ่ง ก่อนจะชี้นิ้วมาที่ตัวเอง "เจ้าหมายถึงข้าหรือ?"

มู่อี้เสี่ยเอ่ยอย่างเย็นชา "นอกจากเจ้ายังมีใครอีก? ไม่รู้ฐานะตัวเองหรือไง? แค่ลดตัวมาคุยกับขอทานอย่างเจ้าก็นับเป็นการดูหมิ่นข้าแล้ว!"

"แค่ก แค่ก!"

ทันใดนั้น มู่หรูเยว่อดไม่ได้กระแอมไอออกมาเบาๆ นางเห็นว่าเหตุการณ์ตรงหน้าช่างตลกยิ่งนัก นัยน์ตาของนางเปล่งประกายด้วยความขบขัน

หัวหน้านักปรุงยาแห่งสำนักชิงหยุน ท่านอาจารย์อู๋หวี๋ ถูกเข้าใจว่าเป็นขอทาน? นี่คงเป็นครั้งแรกที่เขาถูกดูหมิ่นถึงเพียงนี้

-
TL: แอบส่งหลี่ลู่มาเรียกคะแนน บางทีก็คิดนะว่าหลี่ลู่กลับไปแล้วไม่ใช่หรอ หรือว่าฮีบังเอิญเห็นสองพ่อลูกมาพอดี เลยอยู่เผือกต่อ 555+

ปล. สำหรับคนที่ลืมเหยียนจิ้น ท่านผู้เฒ่าสัตว์อสูร​ ฮีปรากฏตัวช่วงต้นๆค่ะ เป็นสัตว์อสูรที่ถูกทำพันธสัญญากับนางเอก ช่วงนี้ฮีไร้บทมาก​ ถ้าจำไม่ผิดฮีจะโผล่อีกทีประมาณตอนที่เจ็ดสิบกว่าๆ

ปล2 รู้สึกเหมือนจะทำเพื่อนๆค้างกว่าเดิม เก๊าผิดไปแล้ววว​ T_T

posted from Bloggeroid

หมอยาเจัาเสน่ห์: จอมใจราชาปีศาจ บทที่ 56-57

บทที่ 56 ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจ ตอนที่7

หลังจบการประลอง เมื่อหลี่ลู่กลับถึงบ้านก็ถูกบิดาของเขาทุบตีอย่างหนัก อย่างไรก็ตามหลี่ลู่ยังคงยืนกรานหนักแน่นว่าบุรุษเมื่อลั่นวาจาออกไปแล้วย่อมต้องทำให้ได้ นั่นทำให้บิดาของเขาแทบจะเอาดาบไล่ฟันขาด้วยความโกรธจัด

ในท้ายที่สุดภรรยาของท่านแม่ทัพเมื่อทราบเรื่องก็เข้ามาห้ามปรามเอาไว้ พลางข่มขู่ท่านแม่ทัพว่าหากคิดจะทำร้ายลูกชายของนางอีกก็ให้ข้ามศพนางไปก่อน ท่านแม่ทัพผู้เกรงกลัวภรรยามีหรือจะกล้าฟันขาของหลี่ลู่? ดังนั้นจึงได้แต่ปล่อยให้หลี่ลู่ทำตามใจตัวเอง

อย่างไรก็ตาม ใครจะคิดว่ามู่หรูเยว่กลับหายตัวไปหลังจากจบการประลอง? หลี่ลู่ใช้เส้นสายของตนส่งคนออกตามหานางจนทั่ว หากไม่เพราะมู่หรูเยว่ก้าวออกจากเรือนมู่ คนของเขาก็คงไม่มีสามารถตามหานางจนเจอ

"ข้าเกือบลืมไปแล้วเชียว..." มู่หรูเยว่ลุกขึ้นจากเก้าอี้ยาว บิดหัวไหล่อย่างผ่อนคลาย "หลี่ลู่ ช่วยข้ารวบรวมจอมยุทธ์ซักจำนวนหนึ่ง"

"หือ?" หลี่ลู่กระพริบตา ก่อนจะเอ่ยถาม "ท่านจะรวบรวมจอมยุทธ์ไปทำไม?"

มู่หรูเยว่เหลือบตามองมาทางเขา "แน่นอนข้าย่อมต้องมีกองกำลังเป็นของตัวเอง มีหลายเรื่องที่ข้าไม่อาจจัดการได้ด้วยตัวคนเดียว หากต้องการเอาชีวิตรอด ข้าต้องมีกองกำลังที่แข็งแกร่งของตัวเอง"

เมื่อพูดถึงประโยคนั้น มู่หรูเยว่วางมือบนบ่าของหลี่ลู่ "ดังนั้น เรื่องนี้ยกเป็นหน้าที่เจ้า ข้าเชื่อว่าเจ้าทำได้"

ได้ยินมู่หรูเยว่พูดดังนั้น หลี่ลู่เกาหลังคอตัวเองอย่างขัดเขิน "นายหญิง ท่านเชื่อใจถ้าถึงเพียงนี้ ข้าย่อมไม่ทำให้ท่านผิดหวัง แค่รวบรวมจอมยุทธ์จำนวนหนึ่ง? ข้า หลี่ลู่ ย่อมมีวิธีจัดการเรื่องนั้น ภายในสามเดือน ข้ามั่นใจว่าสามารถรวบรวมจอมยุทธ์ได้จำนวนหนึ่ง แน่นอน หึหึ... นายหญิง ท่านต้องมีเงินมากพอที่จะเลี้ยงดูพวกเขา ให้พวกเขายอมรับใช้ท่านต่อไป"

"เรื่องนั้นไม่ต้องกังวลไป" มู่หรูเยว่คลี่ยิ้ม "บอกต่อออกไปว่า ผู้ใดก็ตามที่ยอมรับใช้ข้าจะได้รับยาชำระไขกระดูก เรื่องนี้ต้องกระทำอย่างลับๆห้ามมิให้คนในวังล่วงรู้เป็นอันขาด"

หลี่ลู่นัยน์ตาเป็นประกาย ยาชำระไขกระดูกเป็นยาชั้นเลิศที่ใช้เพิ่มความแข็งแกร่งให้กับผู้ฝึกวิทยายุทธ์

"นายหญิง กองกำลังของเราควรเรียกว่าอะไร?"

"อืม?" มู่หรูเยว่เอามือลูบคาง ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง "เรียกว่า สำนักพิฆาตสวรรค์ ก็แล้วกัน"

สำนักพิฆาตสวรรค์ หมายความว่า ต่อให้สวรรค์คิดต่อต้านพวกเขา พวกเขาก็จะสังหารโดยไม่ละเว้น

"สำนักพิฆาตสวรรค์ ชื่อที่ดี! ฮ่าฮ่า! นายหญิง นับจากวันนี้พวกเราติดตามท่าน ผู้ใดคิดต่อต้านล้วนไม่ต่างกัน หากสวรรค์ไม่ยุติธรรม สังหารทิ้งเสียก็สิ้นเรื่อง!"

หลี่ลู่หัวเราะ เขายังไม่รู้ว่าการตัดสินใจวันนี้เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุด กระทั่งอีกหลายปีให้หลังเขาก็ยังรู้สึกยินดีกับการตัดสินใจในครั้งนี้

สำนักพิฆาตสวรรค์...?

ตอนที่คนอื่นไม่ทันสังเกต เย่อู๋เฉินลอบหัวเราะออกมา ชื่อที่เผด็จการเช่นนี้ช่างเหมาะสมกับนางยิ่งนัก...

มู่หรูเยว่ไม่ได้คิดมากเรื่องชื่อสำนัก นางแค่รู้สึกว่าชื่อนี้สะท้อนความรู้สึกของนางมากที่สุดในชาติก่อน ท่านปู่ของนางฝ่าฝืนมติสวรรค์เพื่อรักษาชีวิตบิดาของนางเอาไว้ เป็นผลให้เขาต้องเสียชีวิตจากสายฟ้าทัณฑ์สวรรค์

ในเมื่อสวรรค์แล้งน้ำใจเช่นนี้ สังหารทิ้งเสียก็สิ้นเรื่อง?

"หลี่ลู่ ในเมื่อเจ้าเป็นลูกน้องของข้า ข้าจะแนะนำให้เจ้ารู้จักกับใครบางคน" มู่หรูเยว่หันหน้าไปมองเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่ยืนอยู่ด้านข้าง ก่อนเอ่ยแนะนำด้วยรอยยิ้ม "นี่คือกุ่ยหวัง เย่อู๋เฉิน"

หลี่ลู่ตกใจจนแทบสะดุดขาตัวเองล้ม นัยน์ตาเบิกกว้างอย่างไม่เชื่อ หลังจ้องมองใบหน้าหล่อเหลาไร้ที่เปรียบของเย่อู๋เฉิน เขาหันกลับมามองมู่หรูเยว่พลางกลืนน้ำลายลงคอ"นายหญิง ท่านเข้าใจผิดหรือไม่? กุ่ยหวังมิได้มีหน้าตาอัปลักษณ์เหมือนภูติผีหรอกหรือ? เขาจะมีหน้าตาหล่อเหลาขนาดองค์ชายฮวายังเทียบไม่ได้เพียงเศษเสี้ยวได้อย่างไร?"

บทที่ 57 ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจ ตอนที่8


เป็นเรื่องยากเกินไปสำหรับเขาที่จะเชื่อว่าเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา ท่าทางอ่อนต่อโลกผู้นี้จะเป็นคนเดียวกับ กุ่ยหวัง ที่ผู้คนต่างก็เล่าลือว่าหน้าตาอัปลักษณ์ไปได้ ให้ตายเถอะ... นี่มันคนละคนชัดๆ!

"ข้าจำเป็นต้องโกหกเจ้าด้วยหรือ?" มู่หรูเยว่ยักไหล่ พลางเอ่ย

"แต่ว่า..." หลี่ลู่สับสนไปครู่หนึ่ง เอ่ยพึมพำในคอ "ข่าวลือพวกนั้นมาจากวังหลวง ข้าจึงคิดว่านั่นเป็นเรื่องจริง"

"วังหลวง?" มู่หรูเยว่หรี่ตา ดูเหมือนว่าถึงเวลาที่ต้องสืบหาต้นตอของข่าวลือเสียแล้ว "พักเรื่องข่าวลือเอาไว้ก่อน หลี่ลู่ ภายในสามเดือนเจ้าสามารถรวบรวมจอมยุทธ์ได้เท่าไหร่?"

"หากใช้ยาชำระไขกระดูกเป็นของตอบแทน ข้าสามารถช่วยท่านรวบรวมจอมยุทธ์ขั้นห้าถึงขั้นแปดได้ประมาณหนึ่งร้อยคน หากต้องการจอมยุทธ์ที่เหนือกว่าขั้นแปด ยาชำระไขกระดูกยังไม่ใช่สิ่งที่น่าดึงดูดเท่าไหร่นัก"

"ตกลง ข้าให้เวลาเจ้าสามเดือน"

ภายในสามเดือน นางต้องพยายามเพิ่มความแข็งแกร่งของตัวเองให้มากที่สุด

ตอนที่หลี่ลู่กำลังจะจากไป คนของตระกูลมู่ก็เดินทางมาถึงพอดี...

มู่อี้เสี่ยเลื่อนสายตามองเย่อู๋เฉินที่ยืนดูข้างกายมู่หรูเยว่ สายตาของนางราวกับต้องมนต์สะกดจากรูปลักษณ์อันหล่อเหลาของเขา ไม่อาจเลื่อนสายตาไปทางอื่น

เด็กหนุ่มมีผมสีดำดุจหมึก ผิวกายของเขาขาวจัดราวกับโปร่งแสง นัยน์ตาใสกระจ่างที่ดูไม่รู้เรื่องราว อีกทั้งยังมีริมฝีปากหยักโค้งได้รูป...

สายตาของเด็กหนุ่มที่เต็มไปด้วยความไว้วางใจจับจ้องอยู่ที่มู่หรูเยว่ตลอดเวลา ราวกับว่าเขามีคนข้างๆเพียงผู้เดียวอยู่ในสายตา

มู่อี้เสี่ยกำหมัดแน่นจนปลายเล็บเปลี่ยนเป็นสีขาวซีดด้วยความอิจฉา ภาพความสนิทสนมตรงหน้าทิ่มแทงสายตาของนาง เสียจนนางนึกอยากจะฆ่ามู่หรูเยว่ให้ตายแล้วเข้าไปอยู่แทนที่

"คุณชาย ท่านเป็นใครกัน? เห็นใดจึงอยู่กับพี่ใหญ่ของข้า?" มู่อี้เสี่ยขบกรามแน่น นางใช้สายตากราดเกรี้ยวจ้องมองมู่หรูเยว่และเย่อู๋เฉิน เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียว

เย่อู๋เฉินเหลือบตามองด้วยสายตาขลาดกลัว เอ่ยถาม "ชายา หญิงบ้าผู้นี้น่ากลัวยิ่งนัก ท่านไล่นางออกไปได้หรือไม่?"

หญิงบ้า? ใบหน้างามของมู่อี้เสี่ยเปลี่ยนกะทันหัน หากไม่เพราะมู่ชิงส่งสายตาเป็นเชิงห้ามปรามนางเอาไว้ นางคงก้าวไปแย่งชิงเด็กหนุ่มผู้นั้นมาอยู่เคียงข้างนาง

"คุณชาย ข้าไม่ใช่หญิงบ้าสักหน่อย คนที่อยู่ข้างท่านต่างหากที่เป็น!"

"เสี่ยเอ๋อร์!" มู่ชิงจ้องมองนาง หากเขารู้ว่านางจะทำตัวไร้มารยาทเช่นนี้ เขาย่อมไม่มีทางยอมให้นางตามมาด้วย สุดท้ายแล้วจุดประสงค์ที่เขาเดินทางมาวันนี้ก็เพื่อเกลี้ยกล่อมให้มู่หรูเยว่กลับบ้าน

นัยน์ตาของมู่อี้เสี่ยเต็มไปด้วยความโกรธแค้น นางไม่พูดอะไรต่อเพียงแค่จ้องมองมู่หรูเยว่ด้วยความอิจฉา

"ชายาของข้าเป็นคนดี ไม่มีทางเป็นหญิงบ้าแน่นอน!" เย่อู๋เฉินหน้าแดงก่ำ นัยน์ตาใสกระจ่างของเขาเต็มไปด้วยความโกรธ "หากเจ้ารังแกชายาของข้าอีก ข้าจะฆ่าเจ้า!"

มู่หรูเยว่จ้องมองเย่อู๋เฉินพลันตกตะลึงไปชั่วขณะ สายตาของเขาแผ่รังสีฆ่าฟัน นางเอ่ยอย่างแปลกใจ "อู๋เฉิน?"

ในความคิดของนางนั้นเย่อู๋เฉินเป็นคนที่มีจิตใจสะอาดและบริสุทธิ์ราวกับเด็กน้อย ใครจะคิดว่าเขาสามารถแผ่รังสีฆ่าฟันเช่นนี้ออกมาได้?

"เสด็จพ่อเคยกล่าวว่าสุภาพบุรุษต้องปกป้องภรรยาของตน ข้าเป็นบุรุษ ใครก็ตามที่รังแกชายาของข้า ข้าจะฆ่านาง ข้าจะฆ่านางให้ได้!" เย่อู๋เฉินจ้องมองมู่อี้เสี่ย ตะโกนอย่างโกรธจัด

หากเป็นผู้อื่นพูดวาจาเช่นนี้ออกมามู่หรูเยว่คงไม่มีทางเชื่อ แต่เมื่อเป็นเย่อู๋เฉินนางกลับเชื่อเขาแม้จะรู้ว่าเขาไม่อาจทำให้สำเร็จได้ก็ตาม

ความรู้สึกบางอย่างเบ่งบานในจิตใจของนางโดยไม่ทันรู้ตัว..

"อู๋เฉิน อย่าปล่อยให้มือคู่นั้นของเจ้าเปื้อนเลือด" มู่หรูเยว่กุมมือของเขา เอ่ยด้วยรอยยิ้ม "เรื่องฆ่าคนปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้า บนโลกใบนี้มี้เพียงเจ้าคนเดียวที่สะอาดบริสุทธิ์ ข้าจะไม่ยอมให้มือเจ้าเปื้อนเลือดพวกนั้นเด็ดขาด"

---
อัพเดตทีมอเวนเจอร์ (ใช่หราาาา)
#นางเอกสายเทพทรู
#องค์ชายสายแอ๊บ
#ข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์
#ท่านอาจารย์สายเปย์
#ท่านผู้เฒ่าสัตว์อสูร

ปล. ยังไม่ชินกับวิธีสะกดใช่แบบใหม่ใช่มั๊ยคะ เก๊าก็ไม่ชิน เอิ๊ววววว
ปล2. ถ้าช่วงบ่ายว่างอาจจะลงเพิ่มอีกตอน แต่วันเสาร์ไม่โพสนะคะ ติดภารกิจตากล้องจำเป็นงานซ้อมรับปริญญา ยังไงก็ขอแสดงความยินดีกับว่าที่บัณฑิตในปีนี้ทุกท่านด้วยค่ะ♡
posted from Bloggeroid

Last Modified: Thursday, November 10, 2016

หมอยาเจ้าเสน่ห์: จอมใจราชาปีศาจ บทที่ 54-55

บทที่ 54 ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจ ตอนที่5


"หึหึ ที่จริงแล้วทุกคนต่างก็รู้จุดประสงค์ของตระกูลมู่ดี" อู๋หวีลูบเคราสีขาวของตน คลี่ยิ้มพลางเอ่ยต่อ 

"เพราะการประลองเดี่ยวเอาชนะคนทั้งกลุ่มของเจ้า รวมไปถึงเอาชนะผู้ฝึกวิทยายุทธขั้นห้าอย่าง มู่ถิงเอ๋อร์ ผู้อาวุโสในสำนักชิงหยุนมากมายต่างก็ต้องการรับเจ้าเป็นศิษย์ อีกทั้งเจ้าสามารถพัฒนามาถึงขั้นนี้ได้โดยไม่ต้องพึ่งยา หากได้เข้าร่วมกับสำนักชิงหยุนพัฒนาการของเจ้าจะยิ่งก้าวกระโดด ที่สำคัญไปกว่านั้นผู้คนต่างก็ให้ความสนใจวิชากระบี่ที่เจ้าใช้ ในเมื่อตระกูลมู่สูญเสียโอกาสที่จะเกี่ยวดองกับสำนักชิงหยุนด้วยการแต่งงานไปแล้ว พวกเขาย่อมต้องการเจ้า"

มู่หรูเยว่คลี่ยิ้ม รูปลักษณ์อันโดดเด่นของนางดูมีชีวิตชีวาด้วยรอยยิ้มนั้น หากแต่ทั่วร่างของนางกลับแผ่กลิ่นอายเยือกเย็นออกมา สร้างความกังวลให้อู๋หวี เขานึกสงสัยว่าเหตุใดเด็กสาวจึงได้มีท่าทีเย็นชาถึงเพียงนี้?

"ข้าไม่ใช่คนของตระกูลมู่ พวกเขาบังคับข้าไม่ได้"

ถึงอย่างไรมู่หรูเยว่ตัวจริงก็เสียชีวิตไปแล้ว นางเป็นแค่วิญญาณที่พลัดมายังดินแดนแห่งนี้โดยไม่ตั้งใจ

"วางใจเถอะ มีข้าอยู่ทั้งคน ผู้ใดกล้าแย่งชิงลูกศิษย์ของข้า" อู๋หวีลูบเคราตัวเอง พลางเอ่ยอย่างมั่นใจ

หากพวกเขารับรู้ว่ามู่หรูเยว่เป็นลูกศิษย์ของอู๋หวี อย่าว่าแต่ขโมยลูกศิษย์ของเขาเลย ผู้ใดกล้าแสดงท่าทีต้องการรับนางเป็นศิษย์บ้าง

ท่านอาจารย์อู๋หวีเป็นใครกัน? เขาไม่ใช่คนมีเหตุผล หากเขาโกรธต่อให้เป็นเจ้าสำนักชิงหยุนก็ไม่มีข้อยกเว้น

มู่หรูเยว่ได้กำไรจากการมาพบอู๋หวีในวันนี้ บัวหิมะเก้ากลีบนับเป็นสมบัติล้ำค่า ถึงแม้จะแตกต่างเพียงแค่จำนวนกลีบ แต่สรรพคุณของมันเหนือกว่าบัวหิมะแปดกลีบอยู่หลายเท่าตัว

หลังสนทนากันต่อพอเป็นพิธี มู่หรูเยว่ก็ขอตัวกลับ ระหว่างทางกลับบ้าน นางถูกพ่อบ้านตระกูลมู่ มู่เหรินกุ้ย พบเห็นเข้าพอดี

มู่เหรินกุ้ยมาจัดการธุระที่ถนนหวนหยวน และเห็นมู่หรูเยว่เดินเข้าไปในบ้านด้วยความบังเอิญ ตัวอักษรถูกเขียนไว้เพียงสองคำ 'เรือนมู่' ตั้งอยู่เหนือประตูบ้าน เปล่งประกายสีทองภายใต้แสงแดด

ช่วงที่ผ่านมามู่ชิงส่งคนออกตามหาที่อยู่ของมู่หรูเยว่จนทั่ว แต่ใครจะคาดคิดว่านางอยู่ในสถานที่ที่คาดไม่ถึงที่สุด?

ถนนหวนหยวนเป็นสถานที่แบบไหนกัน? บ้านพักที่นี่ต่อให้มีเงินทองมหาศาลก็หาซื้อไม่ได้ แม้แต่ตระกูลมู่เองก็ยังไม่สามารถเป็นเจ้าของสถานที่เงียบสงบเช่นนี้

ทันทีที่มู่เหรินกุ้ยเห็นเช่นนี้ เขาก็รีบร้อนกลับไปรายงานต่อมู่ชิง

"เจ้าว่าอย่างไรนะ?" มู่ชิงยกมือตบโต๊ะ นัยน์ตาเปล่งประกายที่อ่านไม่ออก "เหตุใดมู่หรูเยว่ถึงอยู่ที่นั่นได้? หรือว่าฝ่าบาทจะยกบ้านให้นางเป็นรางวัลสำหรับผู้ชนะการประลอง?"

ในตอนนี้ มู่ชิงสามารถคิดถึงความเป็นไปได้ออกเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

"ตามข้ามา ข้าจะไปพบมู่หรูเยว่" มู่ชิงสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะออกคำสั่ง

ในตอนนั้นมู่อี้เสี่ยพลันวิ่งออกมาจากห้องด้านใน นางกอดแขนมู่ชิง ใบหน้าสวยคลี่ยิ้มออดอ้อน "ท่านพ่อ ข้าอยากไปด้วย"

มู่ชิงขมวดคิ้ว จ้องมองท่าทางกระตือรือร้นของบุตรสาว "ถ้าเจ้าไป ห้ามทำให้พี่สาวเจ้าโกรธเด็ดขาด ครั้งนี้เราต้องลดตัวเกลี้ยกล่อมให้นางยอมกลับมา"

มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่จะทำเขาให้มั่นใจได้ว่า ตระกูลมู่และสำนักชิงหยุนได้สานสัมพันธ์กัน

"ท่านพ่อ วางใจเถอะ เสี่ยเอ๋อร์จะเชื่อฟังทุกอย่างที่ท่านพูด ข้าสัญญาว่าจะไม่ทำให้นัง..." เมื่อเห็นสายตาไม่พอใจของมู่ชิง มู่อี้เสี่ยจึงรีบเปลี่ยนคำพูด "ข้าสัญญาว่าจะไม่ทำให้พี่ใหญ่โกรธ"

บทที่ 55 ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจ ตอนที่6


"ไปกันเถอะ"

มู่ชิงหมุนตัวและมุ่งหน้าออกไปยังนอกคฤหาสน์ เขาจึงไม่ทันสังเกตเห็นแววตาชั่วร้ายที่ปรากฏวูบหนึ่งในนัยน์ตาของเด็กสาว

นังหญิงชั่ว มู่หรูเยว่ ทำร้ายพี่ถิงเอ๋อร์จนมีสภาพย่ำแย่ถึงเพียงนี้ นางยังมีสิทธิ์อะไรกลับมาที่ตระกูลมู่อีก? เธอย่อมไม่มีทางยอมให้นังหญิงชั่วกลับมาเหยียบตระกูลมู่โดยเด็ดขาด

ยิ่งไปกว่านั้น...

มู่อี้เสี่ยนึกถึงเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา ท่าทางใสซื่อผู้นั้น ความเกลียดชังในใจที่มีต่อมู่หรูเยว่ยิ่งเพิ่มขึ้น

//////

ที่เรือนมู่ มู่หรูเยว่นอนเอามือหนุนศีรษะทอดกายบนเก้าอี้ยาวอย่างเกียจคร้าน แสงแดดจากดวงอาทิตย์ทำให้นางลืมตาไม่ขึ้น เธอจึงทำได้เพียงหรี่ตามองท้องฟ้าที่สว่างสดใส

"ชายา ชายา..."

ทันใดนั้น น้ำเสียงสดใสดังมาจากบริเวณด้านหน้า

เมื่อเธอเหลือบสายตามองไปทางต้นเสียง ก็พบว่าเย่อู๋เฉินกำลังวิ่งตรงมาหาเธอ ใบหน้าหล่อเหลาของเขาดูใสซื่อและประดับไปด้วยรอยยิ้ม นัยน์ตาใสบริสุทธิ์ดูเปี่ยมล้นไปด้วยความสุข

"ชายา ท่านดู... ข้านำของมาฝากท่านด้วย!"

เย่อู๋เฉินคลายฝ่ามือออก เผยให้เห็นสร้อยคอที่ทำจากลูกปัดหยกในฝ่ามือ เขายื่นสร้อยคอให้มู่หรูเยว่ "ชายา ข้าเห็นว่าลูกปัดพวกนี้ดูสวยดี จึงนำมาร้อยเป็นสร้อยมอบเป็นของขวัญให้ท่าน ชายา... ท่านชอบหรือไม่?"

มู่หรูเยว่รู้สึกประทับใจในความคิดของเย่อู๋เฉินจึงรับสร้อยมาไว้ในมือ นางเลื่อนสายตาลงจับจ้องลูกปัดหยกเหล่านั้น

ลูกปัดพวกนี้ดูแตกต่างจากลูกปัดทั่วๆไป เนื้อหยกที่โปร่งใสเปล่งประกาย อีกทั้งยังมีพลังชีวิตอ่อนๆแผ่ออกมา

"ผลต้นอัญมณี? พวกนี้คือผลต้นอัญมณีหรือ?"

รูปลักษณ์ภายนอกของมันดูไม่ต่างจากลูกปัดทั่วๆไป แต่ความจริงแล้วมันคือผลของต้นอัญมณี

มู่หรูเยว่ดึงผลต้นอัญมณีออกจากสร้อย เอ่ยถามอย่างตื่นเต้น "อู๋เฉิน เจ้าไปหาผลต้นอัญมณีมาจากที่ไหน?"

เย่อู๋เฉินกระพริบนัยน์ตากลมโต เอ่ยถามมู่หรูเยว่อย่างสงสัย "อะไรคือผลต้นอัญมณีหรือ?"

"ผลต้นอัญมณีเป็นผลไม้ที่สะสมพลังชีวิตเอาไว้ภายใน แตกต่างจากสมุนไพรทั่วๆไป โดยทั่วไปแล้วผู้ฝึกวิทยายุทธ์จะไม่กินยาสุ่มสี่สุ่มห้าเพื่อเลื่อนระดับของตัวเอง เพราะจะมีผลข้างเคียงที่กระทบต่อการฝึกฝนในอนาคต แต่ผลต้นอัญมณีนั้นแตกต่างออกไป เมื่อกินเข้าไปแล้ว ผู้ฝึกวิทยายุทธ์สามารถเลื่อนสู่ระดับถัดไปได้ทันที"

ถ้าไม่เพราะเหตุนั้น นางคงไม่ตื่นเต้นถึงเพียงนี้

หลังพูดจบ มู่หรูเยว่อดไม่ได้ต้องหัวเราะพลางสั่นศีรษะไปมา ไม่ว่านางจะอธิบายเท่าไหร่ เย่อู๋เฉินก็คงไม่มีทางเข้าใจนาง

เป็นไปดังคาดเย่อู๋เฉินกระพริบตาปริบๆจ้องมองมู่หรูเยว่อย่างงุนงง "ข้าไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับผลต้นอัญมณี ข้าเจอลูกปัดพวกนี้ก่อนหน้า จึงเก็บเอาไว้ตั้งใจว่าจะมอบเป็นของขวัญแก่ว่าที่ชายา ในเมื่อท่านเป็นชายาของข้า สร้อยเส้นนี้ย่อมมอบให้ท่าน"

ภายในเงามืด ชายชุดดำที่ติดตามเย่อู๋เฉินได้ยินประโยคนั้นแทบล้มลงกับพื้น

'นายท่านของข้า... ท่านพยายามอย่างยากลำบากตามหาผลต้นอัญมณีเพื่อมอบเป็นของขวัญให้ว่าที่นายหญิง แต่ท่านกลับใช้เหตุผลแย่ๆอย่างมอบให้เป็นของขวัญแก่ว่าที่ชายาเป็นข้ออ้าง? ดูเหมือนว่าก่อนที่ท่านจะได้เจอนายหญิงตรงหน้า ท่านไม่เคยมีความคิดที่จะแต่งงานเลยด้วยซ้ำ'

'ยิ่งไปกว่านั้น ดูเหมือนนายหญิงจะยังไม่ยอมรับนายท่าน ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่นายท่านสามารถเรียกหานางว่าชายาได้อย่างเป็นธรรมชาติถึงเพียงนี้? หากเป็นเช่นนี้​ ต่อไปตำหนักกุ่ยหวังคงจะน่าอยู่ยิ่งขึ้น...'

ในตอนนั้นเอง ร่างของใครคนหนึ่งวิ่งเข้ามาจากทางหน้าบ้าน เมื่อหลี่ลู่เห็นมู่หรูเยว่ เขาก็ถอนใจออกมา ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงคับข้องใจ "นายหญิง ท่านไม่ต้องการให้ข้ารับใช้ท่านแล้วหรือ? ท่านหายตัวไปจากงานประลองและปล่อยให้ข้าตามหาท่านเสียนาน หากไม่เพราะมีคนพบร่องรอยของท่าน ข้าคงไม่สามารถตามหาท่านได้รวดเร็วถึงเพียงนี้"