บทที่34 เริ่มต้นการประลอง
ยามอู่ของวัน
ผู้คนต่างพากันรุมล้อมอยู่รอบๆลานประลอง
ต่างก็ถกเถียงถึงผู้ที่จะชนะในการประลองครั้งนี้อย่างตื่นเต้น
บ้างถึงกับลงพนันขันต่อ แน่นอนทุกคนต่างก็คิดว่ามู่ถิงเอ๋อร์ซึ่งเป็นผู้ฝึกวิทยายุทธ์ขั้นสี่ต้องเป็นผู้ชนะในครั้งนี้
ขณะที่มู่หรูเยว่ต้องรั้งอันดับสุดท้ายอย่างไม่ต้องสงสัย
ใครใช้ให้นางเป็นคนไร้ค่ากันเล่า?
“ต่อไปมู่ถิงเอ๋อร์
ตระกูลมู่ ประลองกับ คุณหนูจางหยาซิน จากจวนเสนาบดีกง”
ในที่สุดก็ถึงตาของมู่ถิงเออร์
ผู้คนต่างอารมณ์พลุ่งพล่านเมื่อจับจ้องเด็กสาวในชุดเขียว
มู่ถิงเอ๋อร์ดูจะชมชอบการตกอยู่ท่ามกลางสายตาของผู้คน นางจึงคลี่ยิ้มพลางเยื้อย่างขึ้นเวทีประลองอย่างสง่างาม
“ท่านพ่อ
ถึงตาพี่ถิงเอ๋อร์แล้ว” มู่อี้เสี่ยดึงชายเสื้อมู่ชิงพลางกระโดดอย่างตื่นเต้น
“พี่สาวถิงเอ๋อร์เยี่ยมมาก ตอนที่นางก้าวขึ้นเวทีประลองผู้คนพากันเงียบกริบ
นอกจากพี่ถิงเอ๋อร์แล้วมีใครบ้างทำได้อย่างนาง?”
มู่อี้เสี่ยเชิดคางขึ้น
พลางคลี่ยิ้มกว้าง
ใครบ้างไม่รู้สึกภูมิใจที่มีพี่สาวที่น่าโดดเด่นอย่างมู่ถิงเอ๋อร์?
เหล่าองค์ชายและเชื้อพระวงศ์ยังอดไม่ได้
ต่างจ้องมองมู่ถิงเอ๋อร์ด้วยแววตาหลงใหล
แต่สายตาของอีกฝ่ายกลับจับจ้องไปที่เย่เทียนเฟิงแต่เพียงผู้เดียว
ชายหนุ่มที่หลงใหลนางหลังจากรับรู้ว่านางเห็นเพียงเย่เทียนเฟิงอยู่ในสายตาก็ไม่รู้สึกเจ็บปวดนัก
พวกเขารู้สึกว่าบุคคลที่โดดเด่นอย่างเย่เทียนเฟิงเท่านั้นจึงจะคู่ควรกับนาง
พวกเขาสมเป็นคู่รักสวรรค์สร้างที่ถูกลิขิตให้เกิดมาคู่กัน
ผู้หญิงอย่างมู่หรูเยว่ที่ถูกยกเลิกการหมั้นหมายจะคู่ควรกับเย่เทียนเฟิงได้อย่างไร? นางมีอะไรดีเมื่อเทียบกับมู่ถิงเอ๋อร์?
หากเขาเป็นเย่เทียนเฟิง
เขาย่อมเลือกมู่ถิงเอ๋อร์แทนคนไร้ค่าที่มีดีแต่หน้าตาอย่างแน่นอน
“คุณหนูจาง
เชิญ”
มู่ถิงเอ๋อร์เหลือบตากลับมาที่จางหยาซินด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร
ไม่ว่าใครที่เห็นท่าทางของนางในตอนนี้ต่างก็รู้สึกไม่สบายใจที่ต้องลงมือกับนาง
“แม่นางมู่
ไม่ต้องถ่อมตัวก็ได้” จางหยาซินคลี่ยิ้มพลางกระตุกแส้ยาวจากข้างเอวออกมา
ฉับพลันแส้สีแดงสดแหวกฝ่าอากาศพุ่งเข้าฝ่ายตรงข้ามอย่างรวดเร็ว
มู่ถิงเอ๋อร์ได้ยินเสียงแส้แหวกอากาศใกล้เข้ามา นางเพียงเคลื่อนกายไปด้านข้างหลบหลีกการโจมตีนั้นอย่างง่ายดาย
ชั่วพริบตาร่างของนางก็ปรากฏอยู่อีกฟากหนึ่งของเวที นางอาศัยความรวดเร็วพุ่งเข้าประชิดจางหยาซินจากด้านหลัง
ปลายกระบี่เย็นเยียบจ่ออยู่ที่ลำคอจางหยาซิน
นางชะงักคลี่ยิ้มอย่างจืดเจื่อน “แม่นางมู่
ดูเหมือนข้าจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของท่าน ข้าขอยอมแพ้”
“ท่านยอมให้ข้าชนะ”
มู่ถิงเอ๋อร์ถอนกระบี่กลับ
พลางเหลือบสายตาไปทางเย่เทียนเฟิง
ผลการประลองเป็นไปตามคาดการณ์
นี่แทบไม่เรียกว่าการประลองด้วยซ้ำ ด้วยความสามารถของจางหยาซิน
นางย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมู่ถิงเอ๋อร์
ดูเหมือนว่าชัยชนะจะตกเป็นของมู่ถิงเอ๋อร์อย่างง่ายดาย
“เฟิงเอ๋อร์
นั่นคือเด็กสาวที่เจ้าพึงใจ?” ฮ่องเต้สือเยว่ลูบเคราพลางคลี่ยิ้มอย่างพึงพอใจ
“ไม่เลว พรสวรรค์และบุคลิกของนางนับว่าล้ำเลิศ
สายตาเจ้าเฉียบแหลมมาก ในบรรดาบุตรีทั้งสามของตระกูลมู่
มีเพียงมู่ถิงเอ๋อร์ที่แม้จะไม่ได้ข้องเกี่ยวทางสายเลือดแต่ก็โดดเด่นที่สุด”
“เสด็จปู่ หากท่านพึงใจนางก็ดีแล้ว” เย่เทียนเฟิงรู้สึกตื่นเต้น
ดูเหมือนว่าเสด็จปู่ของเขาจะพึงพอใจมู่ถิงเอ๋อร์ไม่น้อย ถ้าเป็นอย่างนั้นคงไม่ใช่เรื่องยากที่จะให้เสด็จปู่ยอมอนุญาตให้เขาแต่งงานกับถิงเอ๋อร์
ได้ยินบทสนทนาของปู่และหลาน
จี้หรูหยาที่นั่งอยู่ด้านข้างทำหน้ายื่น นัยน์ตาแสดงออกถึงความรังเกียจ
มู่ถิงเอ๋อร์ผู้นั้นแม้จะรูปโฉมงดงามและพรสวรรค์โดดเด่น แต่ว่านางดูเสแสร้งเกินไป…
นางชื่นชอบมู่หรูเยว่ที่พบเมื่อหลายเดือนก่อนมากกว่า
ในตอนนั้นเอง
ผู้ดำเนินการประลองได้ประกาศออกมาอีกครั้ง
“ต่อไปมู่หรูเยว่
ตระกูลมู่ ประลองกับ หลี่ลู่ บุตรชายแม่ทัพฮัวกว๋อ”
บทที่35 ผู้ฝึกวิทยายุทธ์ขั้นสาม
เมื่อเสียงประกาศดังขึ้น
ฝูงชนพากันเงียบกริบ
ไม่มีใครคาดคิดว่านอกเหนือจากมู่ถิงเอ๋อร์
จะมีคนผู้หนึ่งสามารถสร้างปรากฏการณ์เช่นนี้ได้
บนเวทีประลอง
เด็กสาวในชุดสีขาวเดินมายังกึ่งกลางเวที
ถึงแม้ร่างกายเด็กสาวจะดูผ่ายผอมไปบ้างแต่ก็ยังมองออกว่าใบหน้าของนางงามล้ำ
หากมู่ถิงเอ๋อร์เป็นเหมือนกับดอกไม้สีขาวแสนเปราะบาง
เด็กสาวผู้นี้ก็ให้ความรู้สึกเหมือนต้นไผ่ที่อยู่ท่ามกลางภูเขาหิมะ ตั้งตระหง่าน
ไม่หวาดกลัวต่อสภาพอากาศ
ผู้คนต่างไม่ปฏิเสธว่าภายในตระกูลมู่
บุตรสาวที่โดดเด่นที่สุดคือมู่ถิงเออร์ แต่หากพูดถึงความงามล่ะก็
ย่อมต้องตกเป็นของคนไร้ค่าอันดับหนึ่งแห่งแคว้นสือเยว่ มู่หรูเยว่ อย่างแน่นอน
ความงามของนาวดูราวกับเทพธิดาจากดวงจันทร์
ผู้คนพากันจ้องมองนางอย่างหลงใหล
“เจ้าคือมู่หรูเยว่?”
หลี่ลู่ยิ้มกริ่ม ใช้สายจับจ้องมู่หรูเยว่อย่างเปิดเผย “ถ้าเจ้าแพ้ให้ข้า เจ้าต้องมาเป็นอนุคนที่สิบสามของข้า ตกลงหรือไม่?”
“ได้” มู่หรูเยว่คลี่ยิ้มเย็น “ถ้าเจ้าแพ้
เจ้าต้องติดตามรับใช้ข้า ตกลงหรือไม่?”
“ฮ่าฮ่า!”
หลี่ลู่หัวเราะ พลางจ้องมองมู่หรูเยว่อย่างชอบใจ
“ถ้าข้าตกลงแล้วจะทำไม?”
เขาหยุดครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “ข้าไม่แพ้แน่นอน!”
‘มู่หรูเยว่เป็นแค่คนไร้ค่าอับดับหนึ่งในแคว้น
ข้าจะแพ้ได้อย่างไร?’
แต่ก่อนที่หลี่ลู่จะเริ่มตอบโต้
มู่หรูเยว่ชิงออกกระบวนท่าก่อน เมื่อเห็นประกายเย็นเยียบจากกระบี่ในมือของนาง ลมหายใจหลี่ลู่พลันสะดุด
“ผู้ฝึกวิทยายุทธ์ขั้นสาม!”
ถูกต้อง...
ประกายเย็นเยียบที่ส่งผ่านจากร่างกายเป็นความสามารถของผู้ฝึกวิทยายุทธ์ขั้นสามเท่านั้น
สีหน้าของหลี่ลู่ดูย่ำแย่
เมื่อเขาพยายามยกกระบี่ขึ้นปัดการโจมตีของนาง ในตอนนั้นเขารู้สึกเหมือนถูกบางสิ่งกระแทกที่หน้าอกอย่างแรง
เขาเซถอยไปด้านหลังหลายก้าวพลางกระอักเลือดออกมาทันที
ผลการประลองที่เหนือความคาดหมายสร้างความตกตะลึงให้ผู้คน
ความสามารถของหลี่ลู่แม้ไม่ถึงกับแข็งแกร่ง
แต่เขาก็เป็นถึงผู้ฝึกวิทยายุทธ์ขั้นสาม ‘คนไร้ค่าถึงกับทำเขากระอักเลือด?’
“ขั้นสาม!
นางเป็นผู้ฝึกวิทยายุทธ์ขั้นสามแน่ๆ!” มู่ชิงขบกรามแน่น
จ้องมองมู่หรูเยว่ด้วยสายตาเกลียดชัง
ในตอนนั้น
เขาไม่ได้รู้สึกต่างไปจากก่อนหน้าที่มู่หรูเยว่เป็นคนไร้ค่าหรือความอัปยศที่มีนางเป็นต้นเหตุ
เขารู้สึกว่านางจงใจซ่อนความสามารถตัวเองไว้เพื่อรอโอกาสแสดงให้เห็นว่านางไม่ใช่คนไร้ค่าต่อหน้าฝูงชน
ยังมีอีกสองคนที่มีสีหน้าย่ำแย่ไม่ต่างกัน...
ในเมื่อเธอเรียกนางว่าไร้ค่ามาตลอด
มู่อี้เสี่ยรู้สึกยุ่งยากเมื่อนึกได้ว่านางไม่อาจเรียกมู่หรูเยว่ว่าคนไร้ค่าได้อีกต่อไป
ในขณะที่มู่ถิงเอ๋อร์รู้ดีว่าเหตุใดมู่หรูเยว่จึงไม่อาจฝึกฝนวิทยายุทธ์ได้
‘ข้าวางยาพิษนาง
ผลการทดสอบพรสวรรค์ก็เห็นชัดแล้วว่าชีพจรของนางถูกปิด
นางไม่สมควรที่จะฝึกวิทยายุทธ์ได้ ยิ่งไปกว่านั้น... เอาชนะผู้ฝึกวิทยายุทธ์ขั้นสามอย่างหลี่ลู่ก็เรื่องหนึ่ง
แต่นางทำให้เขาบาดเจ็บถึงขั้นกระอักเลือดได้อย่างไร?’
เรื่องน่าขันคือบุตรีทั้งสองกับบิดาของมู่หรูเยว่ที่ดูถูกว่านางเป็นคนไร้ค่ามาตลอด
กลับรู้สึกเกลียดชังนางยิ่งกว่าเดิมหลังจากนางได้พิสูจน์ความสามารถให้เห็น… พวกเขาคิดว่ามู่หรูเยว่สร้างเรื่องยุ่งยากให้พวกเขาเพิ่มขึ้นอีกแล้ว
“ข้ายอมแพ้”
หลี่ลู่ยกมือขึ้นพลางเอ่ยด้วยความพึงพอใจ “แม่นางมู่เก็บซ่อนความสามารถมิดเสียจนข้าตกใจ
แต่มีเรื่องหนึ่งที่ข้าไม่เข้าใจนัก
เราต่างก็เป็นผู้ฝึกวิทยายุทธ์ขั้นสามด้วยกันแต่ทำไมข้าถึงรู้สึกว่าเจ้าแข็งแกร่งกว่านั้น?”
ด้วยความรู้สึกนั้น… หลี่ลู่รู้ดีว่าฝืนสู้ต่อไปก็ไม่มีทางที่เขาจะชนะนางได้
บทที่36 ข้ารับใช้
มู่หรูเยว่เลิ่กคิ้ว
เธอไม่มีความจำเป็นต้องอธิบายให้หลี่ลู่ฟังว่า
ความสามารถของนางนั้นส่วนหนึ่งนั้นจากการส่งเสริมจากยาที่ทานเข้าไป อีกทั้งในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา
ภายในการชี้แนะของอู๋หวีนางได้เลื่อนเป็นผู้ฝึกวิทยายุทธ์ขั้นที่สาม
ส่วนความสามารถในการปรุงยาก็พัฒนาถึงขั้นที่ว่าการปรุงยาลูกกลอนเม็ดหนึ่งกลายเป็นเรื่องง่ายดายราวปอกกล้วยเข้าปาก
ด้วยความสามารถอันก้าวกระโดดของนางทำเอาอู๋หวีตกใจแทบสิ้นสติ
ด้วยการส่งเสริมจากยาลูกกลอนที่ปรุงขึ้นเองนั้น
มู่หรูเยว่เชื่อว่าผู้ฝึกวิทยายุทธ์ในขั้นเดียวกันต่างก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเธอ
“คุณชายหลี่
ยังจำที่พูดได้หรือไม่?”
คงจะดีกว่าหากมู่หรูเยว่ไม่เอ่ยถึงเรื่องนั้น
เมื่อนางเอ่ยออกมาสีหน้าของมู่ชิงพลันเปลี่ยนสี
หลี่ลู่อายุสิบเก้าปีก่อนจะเลื่อนระดับเป็นผู้ฝึกวิทยายุทธ์ขั้นสามสำเร็จ
ดังนั้นพรสวรรค์ของเขาจึงไม่ดีเท่าไหร่นัก แต่บุคคลที่แข็งแกร่งคือบิดาของเขา
แม่ทัพฮัวกว๋อแห่งแคว้นสือเยว่ เขาคุมกองทหารหาญสามพันนาย
และทหารทั่วไปอีกนับหมื่น ท่านแม่ทัพมีบุตรชายเพียงคนเดียวทะนุถนอมเขาราวกับสมบัติล้ำค่า
ไม่ว่าหลี่ลู่ต้องการอะไรย่อมไม่เคยขัด
และที่สำคัญไปกว่านั้นคือฮ่องเต้สือเยว่ให้ความสำคัญกับแม่ทัพฮัวกว๋อเป็นอย่างมาก
‘ถ้าหลี่ลู่ยอมตกลงข้าเสนอของนังเด็กชั่ว
อาจเป็นปัญหาต่อถิงเอ๋อร์ ด้วยการสนับสนุนของตระกูลแม่ทัพฮัวกว๋อ และความจริงที่ว่านางไม่ใช่คนไร้ค่า
ฝ่าบาทอาจจะยอมตกลงหากนางต้องการตบแต่งกับรัชทายาท
ถ้าเป็นเช่นนั้นจะเกิดอะไรขึ้นกับถิงเอ๋อร์? ข้าไม่อาจยอมให้เรื่องนั้นเกิดขึ้นได้’
“หุบปาก!”
มู่ชิงตวาดอย่างโกรธจัด “มู่หรูเยว่! เจ้าคิดว่าบุตรชายของแม่ทัพฮัวกว๋อมีฐานะเช่นไร!? เจ้ากล้าให้เขาเป็นคนรับใช้?
ขอโทษคุณชายหลี่เดี๋ยวนี้!”
ฝูงคนไม่คิดว่ามู่ชิงจะกล้าดุด่าบุตรสาวกลางที่สาธารณะจึงพากันตกตะลึง
พวกเขารู้ว่ามู่ชิงไม่ชอบมู่หรูเยว่ แต่ไม่คิดว่าเขาจะเกลียดชังนางถึงเพียงนี้
ถึงอย่างไรนางก็เป็นบุตรสาวของเขา สายเลือดย่อมข้นกว่าน้ำ ทำไมพวกเขาถึงรู้สึกว่ามู่ชิงเกลียดมู่หรูเยว่ถึงกระดูกดำ
ในขณะที่เด็กสาวที่เก็บมาเลี้ยงอย่างมู่ถิงเอ๋อร์กลับได้รับทั้งความรักและเอาใจใส่
“ตระกูลมู่?”
เมื่อเห็นเหตุการณ์นั้น อู๋หวีขมวดคิ้ว สายตาของเขาบ่งบอกว่าไม่สบอารมณ์สุดขีด “อย่าว่าแต่เด็กนั่นมาเป็นคนรับใช้นางเลย ต่อให้นางต้องการให้ฮ่องเต้มารับใช้ก็ย่อมไม่เป็นปัญหา
ยิ่งเห็นความกำแหงของตระกูลมู่
ข้าไม่รู้จริงๆว่าศิษย์รักของข้าเอาชีวิตรอดมาจนถึงบัดนี้ได้อย่างไร”
หากไม่เพราะมู่หรูเยว่ไม่ต้องการให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาเปิดเผย
เขาต้องพุ่งไปสั่งสอนเจ้าคนชั่วช้ามู่ชิงเป็นแน่! แต่เรื่องนี้ต้องเก็บไว้เป็นความลับชั่วคราว
รอให้จบการประลองเมื่อไหร่
เขาต้องจับเย่เทียนเฟิงมาอัดสั่งสอนแก้แค้นให้ศิษย์รักของเขา
“ประมุขตระกูลมู่
เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับท่าน” หลี่ลู่จ้องมองเขาอย่างไม่พอใจ
เขาเอ่ย “ถึงแม้ข้า หลี่ลู่ จะเป็นคนเจ้าชู้ แต่ก็เป็นคนพูดคำไหนคำนั้น
ท่านพ่อสอนว่าหากรับปากอะไรแล้วต้องทำให้ได้
ในเมื่อข้ารับปากแม่นางมู่ไว้แล้วย่อมต้องทำตามคำพูด”
สีหน้าของมู่ชิงพลันซีดเผือด
เขาไม่คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้
ยิ่งไปกว่านั้นหลี่ลู่รู้การกระทำของมู่ชิงมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา
เขาจ้องมองมู่ชิงอย่างดูแคลน “ข้าเคยได้ยินว่าคุณหนูใหญ่ตระกูลมู่ถูกบิดาและข้ารับใช้รังแก
ที่น่าขันคือเด็กสาวที่เก็บมาเลี้ยงกลับได้รับการดูแลเอาใจใส่
ไม่รู้ว่านั่นคือธรรมเนียมปฏิบัติของตระกูลมู่
หรือเด็กสาวที่เก็บมาเลี้ยงแท้จริงแล้วเป็นบุตรสาวของท่านที่เกิดจากหญิงนางโลม?”
ฟังคำพูดนั้น
ใบหน้างามของมู่ถิงเอ๋อร์พลันซีดเผือด นางกำหมัดแน่นจ้องมองหลี่ลู่ด้วยสายตาโกรธจัด
‘เจ้าเด็กนั่นกล้ากล่าวหาว่าข้าเป็นเด็กที่เกิดจากหญิงนางโลม
ยกโทษให้ไม่ได้! อย่าคิดว่าตัวเองเป็นบุตรชายของแม่ทัพฮัวกว๋อแล้วคิดจะทำอะไรก็ทำได้ตามอำเภอใจ
เพราะอิทธิพลตระกูลมู่ของข้าเองก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากัน!
‘ถ้าข้าไม่ต้องรักษาภาพพจน์ของข้า
ข้าย่อมอัดเขาให้ตาย!’
ผู้หเสแสร้ง! ไม่มีใครดูออกเลยรึไง!? ช่างน่ารังเกียจยิ่งนัก
ReplyDeleteได้เบ๊ 1ea
ReplyDeleteอิบร้าาาเกลียดนังเอ๋ออออ
ReplyDeleteกรี๊ดๆๆที่แท้เป็นลูกกะxรี่
ReplyDeleteกรี๊ดๆๆที่แท้เป็นลูกกะxรี่
ReplyDeleteเป็นบุตรสาวที่มีกำเนิดสมค่าของผู้เป็นบิดายิ่งนัก มู่ถิงเออร์
ReplyDelete