บทที่31 การปกป้องของท่านอาจารย์อู๋หวี๋
“ศิษย์รัก
ไม่ต้องกังวลไป ในเมื่อเจ้าเป็นศิษย์ของข้า อาจารย์ย่อมไม่อนุญาตให้ผู้ใดรังแกเจ้า
ขอเพียงเจ้าพูดออกมาคำเดียวข้าจะไปสั่งสอนเจ้าเด็กนั่น”
เมื่อนึกถึงการหมั้นหมายของมู่หรูเยว่ที่ถูกยกเลิกทั้งที่เธอมีทั้งงดงามและเปี่ยมด้วยพรสวรรค์ถึงเพียงนี้ อู๋หวีก็แทบทนรอไม่ไหวที่จะไปสั่งสอนเจ้าเด็กที่เห็นทองคำเป็นก้อนกรวดนั่น
‘ลูกศิษย์ของเขาใช่คนที่ใครก็รังแกได้ที่ไหน?
ใครก็ตามที่กล้ารังแกนาง ข้าจะฆ่ามันเป็นการชดใช้!’
“ไม่จำเป็น”
มู่หรูเยว่สั่นศีรษะ เอ่ยตอบยิ้มๆ “ต่อให้เขาไม่ยกเลิกข้าก็จะยกเลิกการแต่งงานนั้นเอง
พวกม้าพ่อพันธุ์ที่น่ารังเกียจนั่นไม่คู่ควรกับข้า”
ฟังคำตอบของเด็กสาวอู๋หวีจึงค่อยคลายความโกรธ
เขาหัวเราะออกมา “ถูกต้อง
เจ้าโง่นั่นโชคร้ายที่ยกเลิกการหมั้นหมายกับศิษย์ของข้า ด้วยพรสวรรค์ระดับเจ้า...จะแต่งกับชายที่ดีกว่านี้พันเท่าก็ย่อมได้
คนที่มีดีแค่หน้าตาพรรคนั้นไม่คู่ควรกับศิษย์ของข้า”
มู่หรูเยว่นันย์ตาเป็นประกาย พลางเอ่ย “ยังมีอีกเรื่อง... ข้าอยากให้ท่านเก็บความลับเรื่องที่รับข้าเป็นศิษย์ไว้ชั่วคราว”
“ได้อย่างไรกัน!?” อู๋หวีกระพริบตาอย่างไม่เข้าใจ
เขาอยากให้ผู้คนในสำนักชิงหยุนรับรู้ว่าเขารับศิษย์ดีๆได้คนหนึ่งผู้เปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์ระดับที่แม้แต่ท่านอาจารย์เทียนหยุนและเย่เทียนเฟิงยังต้องตกตะลึง
“เหตุผลง่ายๆ
ข้าไม่ต้องการให้ท่านปกป้องข้าจนเกินไป ท่านแค่ช่วยเหลือข้าในยามที่จำเป็นก็พอแล้ว”
‘ข้าต้องการเพียงไม้ใหญ่ที่ต้านทานลมฝนให้ในยามที่ข้าตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่อาจจัดการเองได้
ไม่ใช่อาจารย์ที่เลี้ยงดูปกป้องข้าราวกับไข่ในหิน’
‘หากไร้ซึ่งอันตราย…
จะสั่งสมประสบการณ์ได้อย่างไร?’ จากประสบการณ์ที่สั่งสมมาสองชีวิต
มู่หรูเยว่เข้าใจในจุดนั้นดียิ่ง
“ฮ่าๆ!
ตกลง ศิษย์รักของข้า” อู๋หวีหยักหน้าอย่างยินยอม
เขามองคนไม่ผิดจริงๆด้วย คงมีเพียงเด็กสาวเท่านั้นที่สามารถเอ่ยวาจาเช่นนี้ออกมา
แน่นอนว่าเด็กสาวผู้นี้ไม่ใช่คุณหนูที่ได้รับการประคบประหงมจากครอบครัวคหบดี
ดังนั้นนางจึงรู้วิธีเอาตัวรอดในดินแดนแห่งนี้...
“สาวน้อย นับแต่นี้เจ้าควรมาพบข้าทุกวัน ข้าจะสอนเคล็ดลับการฝึกฝนและปรุงยาให้แก่เจ้า ข้อแม้เพียงอย่างเดียวคือในงานประลองที่จะจัดขึ้นในอีกสองเดือนข้างหน้า เจ้าต้องได้ชัยชนะกลับมา”
“สาวน้อย นับแต่นี้เจ้าควรมาพบข้าทุกวัน ข้าจะสอนเคล็ดลับการฝึกฝนและปรุงยาให้แก่เจ้า ข้อแม้เพียงอย่างเดียวคือในงานประลองที่จะจัดขึ้นในอีกสองเดือนข้างหน้า เจ้าต้องได้ชัยชนะกลับมา”
อู๋หวีลูบเคราตัวเองยิ้มๆ
นับจากนี้ต่อไปเป็นจะเป็นยุคของหนุ่มสาวหน้าใหม่ ดูเหมือนว่าเขาแก่ตัวแล้วจริงๆ…
“อันดับหนึ่ง?”
มู่หรูเยว่กลั้วหัวเราะออกมาแผ่วเบา “ข้ากำลังตั้งใจเช่นนั้นอยู่พอดี”
นางไม่ได้สนใจในการประลอง
แต่นางรู้ว่ามู่ถิงเอ๋อร์ต้องเข้าร่วมการประลองครั้งนี้ และที่ยิ่งไปกว่านั้นนางต้องการประกาศให้คนทั้งโลกรู้ว่านางไม่ใช่คนไร้ค่าอีกต่อไป!
อู๋หวีจ้องมองมู่หรูเยว่อย่างสนใจ… แม้ว่าตอนนี้มู่หรูเยว่กำลังคลี่ยิ้มแต่กลับให้ความรู้สึกที่เย็นเยือกจับขั้วหัวใจ
////
ยามค่ำคืน...
ไม่ไกลนักจากจวนตระกูลมู่
ชายผู้ซึ่งไพล่มือไว้ด้านหลัง นัยน์ตาลึกล้ำจ้องมองในความมืด ความรู้สึกหลากหลายปรากฏขึ้นในแววตา
ชายหนุ่มสวมชุดยาวสีเงิน
ด้วยใบหน้าหล่อเหลาราวเทพบุตรยืนสะท้อนแสงจันทร์
เขาดูหล่อเหลาถึงขนาดทำให้ผู้คนลืมหายใจ หล่อเหลา... เสียจนพระจันทร์ในค่ำคืนนี้ดูหม่นหมอง
“นายท่าน
ให้ข้าน้อยจัดการกับผู้หญิงที่ท่านกำลังจะแต่งงานด้วยหรือไม่?”
เบื้องหลังของเขาเป็นหญิงสาวชุดดำกำลังคุกเข่าอยู่ นางรู้ว่านายท่านไม่ชอบให้ผู้คนจ้องมอง แม้จะแค่แผ่นหลังก็ตาม
เบื้องหลังของเขาเป็นหญิงสาวชุดดำกำลังคุกเข่าอยู่ นางรู้ว่านายท่านไม่ชอบให้ผู้คนจ้องมอง แม้จะแค่แผ่นหลังก็ตาม
“ไม่จำเป็น!”
“แต่ นายท่าน…
ถ้านางเข้าเข้าใกล้ตำหนัก นางอาจพบความลับบางอย่าง… หากผู้อื่นรู้ว่านายท่าน...”
“ไสหัวไป!”
น้ำเสียงทุ้มต่ำของเขาแฝงไปด้วยความกราดเกรี้ยวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
จนเตี๋ยอีรู้สึกใจสั่น
‘นายท่านปกป้องเด็กสาวคนนั้น?
เพราะอะไร? เด็กสาวคนนั้นเป็นแค่คนไร้ค่า
ทำไมนายท่านผู้ไม่เคยหลงเสน่ห์ของสตรีคนใดถึงได้ปกป้องนาง?’
เตี๋ยอียังคงก้มหัวลงต่ำ
ข่มกลั้นความสั่นสะท้านในใจ “รับทราบ ข้าน้อยขอตัวก่อน”
แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่านางไม่อาจมีความรู้สึกเช่นนี้ได้
แต่เรื่องบางเรื่องก็สุดจะหักห้าม ดังนั้นทางออกเดียวคือนางต้องเก็บเรื่องนี้เป็นความลับตลอดไป
อย่าให้ผู้ใดล่วงรู้เป็นอันขาด
บทที่32 ก่อนการประลอง
ประเด็นร้อนแรงในเมืองเฟิ่งเฉิงตอนนี้คงไม่พ้นการประลองครั้งใหญ่ที่จัดขึ้นโดยสำนักชิงหยุน
และผู้ตัดสินเป็นถึงรัชทายาทจิ่ง
ผู้ที่ได้ชัยชนะสามอันดับแรกอาจไม่แน่ว่าอาจเข้าตาผู้อาวุโสในสำนักชิงหยุน
ดังนั้นผู้คนมากมายจึงแห่มาเข้าร่วมการประลองในครั้งนี้
“ได้ยินว่า มู่หรูเยว่แห่งตระกูลมู่เองก็เข้าร่วมในการประลองครั้งนี้?”
“ว่าไงนะ?
มู่หรูเยว่? คนไร่ค่าอันดับหนึ่งแห่งแคว้นสือเยว่ผู้นั้นน่ะหรือ?
อย่ามาล้อข้าเล่น ทำไมนางถึงเข้าร่วมล่ะ? อยากเป็นตัวตลกหรือ?”
“เดาว่านางคงอยากอับอายกระมัง
ฮ่าฮ่า”
กลุ่มคนที่พากันเยาะเย้ยมู่หรูเยว่กันจนสนุกปากทำเอามู่ชิงหน้าแดงจัดด้วยความโกรธ
‘ทำไมนางถึงไม่หัดว่านอนสอนง่ายยอมอยู่แต่ในบ้าน
แทนที่จะออกมาให้ผู้คนเยาะเย้ยข้างนอก? นางคิดหรือว่าจะเอาชนะมู่ถิงเอ๋อร์ได้?’’
ในเมื่อรายชื่อผู้เข้าประลองเพิ่งถูกประกาศในวันนี้
มู่ชิงจึงเก็บตัวเงียบมาตลอด ไม่อย่างนั้นมีหรือที่เขาจะไม่พยายามห้ามนาง?
“ท่านพ่อ”
มู่อี้เสี่ยมองหาร่างของมู่หรูเยว่ ใบหน้างามเต็มไปด้วยความโกรธ นางเอ่ยต่อ “วันนี้สมควรเป็นวันของพี่ถิงเอ๋อร์
แต่นังคนไร้ค่านั่นดันเข้ามาแส่ จากความคิดของข้า ข้าว่านางอิจฉาพี่ถิงเอ๋อร์อยู่”
ถึงอย่างไร คนไร้ค่านั่นก็ยังเป็นคนของตระกูลมู่
ถ้านางถูกทำให้อับอายขายหน้า ก็เท่ากับตระกูลมู่ถูกลบหลู่ไปด้วย ‘หรือว่าที่ผ่านมานางยังอับอายไม่พอ? ข้าไม่รู้จริงๆว่าพ่อแม่ให้กำเนิดคนไร้ค่าอย่างนางมาได้อย่างไร’
ในตอนนั้นเอง
ไม่ใครสังเกตว่าภายในโรงเตี๊ยมใกล้ๆ มีสายตาคู่หนึ่งจับจ้องฝูงชนด้วยความโกรธ
อู๋หวีกลืนเหล้าเข้าไปอึกใหญ่เพื่อข่มกลั้นความขัดเคืองในใจ
‘คนไร้ค่า?
เจ้าโง่พวกนั้นกล้าด่าลูกศิษย์ข้าว่าคนไร้ค่าหรือ? ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง แล้วข้าเป็นใคร? อาจารย์ของคนไร้ค่า
ไม่นับเป็นยิ่งกว่าคนไร้ค่าหรือ? ถ้าพรสวรรค์ของนางไร้ค่าล่ะก็
โลกนี้คงไม่มีผู้ใดมีพรสวรรค์อีกแล้ว’
“ตระกูลมู่?” อู๋หวีคลี่ยิ้มเย็นเยือก
ขณะเลื่อนสายตาไปจับจ้องบิดาและบุตรสาวตระกูลมู่
จากการพบปะมู่หรูเยว่ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา
เขารับรู้มาว่ามู่หรูเยว่นั้นถูกวางยาพิษก่อนที่จะมีการทดสอบพรสวรรค์
ตอนนั้นเธออายุแค่ห้าขวบ
ผลของยาพิษทำให้ชีพจรของเธอถูกปิดไม่อาจฝึกฝนวิทยายุทธ์ได้
ถ้าไม่เพราะมีผู้อาวุโสท่านหนึ่งช่วยขจัดพิษในร่างให้
เธอคงต้องเป็นคนไร้ค่าไปช่วยชีวิต
แน่นอน… อู๋หวีไม่รู้ว่าผู้อาวุโสผู้นั้นคือมู่หรูเยว่เอง….
เมื่อคิดว่ายอดอัจฉริยะที่ควรจะถูกค้นพบเมื่อสิบปีก่อนเพิ่งมาถูกค้นพบเอาตอนนี้ อู๋หวี๋ก็รู้สึกปวดใจ เขานึกอยากฉีกกระชากตระกูลมู่ออกมาด้วยความชิงชัง
“นั่นไม่ใช่เรื่องเลวร้ายเสียทีเดียว
ด้วยเหตุนั้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มู่หรูเยว่จึงได้เห็นธาตุแท้ของเจ้าเด็กชั่ว เย่เทียนเฟิง ไม่อย่างนั้นศิษย์รักของข้าไม่โดนเจ้าเด็กหน้าเหม็นหลอกเอาหรือ?”
เมื่อคิดอย่างถี่ถ้วน อู๋หวีก็รู้สึกดีขึ้น ลูกศิษย์ของเขาโดดเด่นถึงเพียงนี้
บุคคลที่โดดเด่นทัดเทียมกันเท่านั้นจึงจะคู่ควรเป็นสามีของนาง
“ชายา”
ไม่ไกลนักจากลานประลอง
น้ำเสียงรื่นหูดังขึ้นจากด้านหลังมู่หรูเยว่ ทันทีที่ได้ยินเสียงนั้นนางก็รู้ทันทีว่าเขาเป็นใคร
“เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”
มู่หรูเยว่หันมองเด็กหนุ่มที่อยู่ด้านหลัง
เมื่อเห็นสีหน้าหม่นหมองของเขา น้ำเสียงเธอก็อ่อนลงโดยไม่รู้ตัว
เด็กหนุ่มคลี่ยิ้มสว่างไสว
แสงแดดส่องกระทบรอยยิ้มและใบหน้าหล่อเหลางดงามราวกับไม่ใช่คนบนโลกมนุษย์ แม้แต่ชายหนุ่มที่ได้รับสมญานามเป็นชายงามอันดับหนึ่งอย่าง เย่เทียนเฟิง ก็ยังเทียบเคียงไม่ได้แม้เพียงครึ่ง
เขาเพียงแค่ยืนอยู่เฉยๆ
ผู้คนก็แทบลืมหายใจ…
บทที่33 ชายา ข้าคิดถึงท่าน
“ชายา
ข้าคิดถึงท่าน ทำไมท่านไม่มาหาข้าบ้าง?”
เมื่อเอ่ยประโยคนั้น
ใบหน้าของเด็กหนุ่มดูขัดเคืองอยู่บ้าง แต่ด้วยท่าทางใสซื่อ
นัยน์ตาเป็นประกายชวนให้หลงใหลยากที่ผู้คนจะต้านทาน มู่หรูเยว่พลันคิดขึ้นมาว่า ‘เขามีปัญหาทางสมอง จิตใจเป็นเด็กจริงน่ะหรือ? ทำไมข้าถึงรู้สึกว่าเขาเหมือนจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ซะมากกว่า?’
“ดูเหมือนพวกเจ้าจะสนิทสนมกันดีนี่?”
เสียงหัวเราะเบาๆดังมาจากด้านข้าง
เย่อี้ฮวาเดินโบกพัดเดินเข้ามาหามู่หรูเยว่
รอยยิ้มเต็มไปด้วยความเสแสร้ง
นัยน์ตาสีน้ำตาลพราวระยับเหลือบมองเย่อู๋เฉินครู่หนึ่งก่อนจะหันกลับมาที่มู่หรูเยว่
“พวกเจ้าทั้งสองยังไม่ทันแต่งงานแต่กลับสนิทสนมถึงเพียงนี้
ดูเหมือนแม่นางมู่จะเป็นคนเปิดเผยไม่เบา”
คำพูดของเขาเน้นย้ำประโยคว่า
สนิทสนมก่อนการแต่งงานเป็นพิเศษ นั่นไม่เท่ากับเป็นการกระทำที่เลวร้ายหรอกหรือ?
เมื่อนึกถึงเรื่องนั้น
นัยน์ตาเขาก็เป็นประกาย เอ่ยพูดเสียงเศร้า “เสียดายที่คนโง่นั่นไม่รู้อะไร
ถ้าแม่นางผู้ต้องการผู้ชาย ตำหนักฮวาของเราพร้อมต้อนรับแม่นางมู่เสมอ
ถึงตอนนั้นเราจะไม่ทำให้แม่นางมู่ผิดหวังแน่นอน”
นัยน์ตาของมู่หรูเยว่เต็มไปด้วยความเยือกเย็น นางจ้องมองเย่อี้ฮวาที่กำลังเดินเข้ามาแล้วแค่นหัวเราะออกมาคราหนึ่ง
“ในเมื่อฝ่าบาทเอ่ยคำพรรคนั้นมาหลายครั้งดูเหมือนจะลืมเลือนที่ข้าเคยพูดไว้ก่อนหน้า
ในเมื่อท่านยังดึงดันข้าก็จะไปเยี่ยมตำหนักท่านดูซักครั้ง” นางหยุดพูดไปครู่หนึ่งนัยน์ตาที่จับจ้องเขาดูเยือกเย็นกว่าเดิม
ราวกับจับจ้องไปถึงขั้วหัวใจ “ถ้าท่านไม่ถือสาที่ตำหนักของท่านถูกข้าทำลายน่ะนะ”
ได้ยินคำพูดของนาง เย่อี้ฮวาไม่นึกโกรธกลับตื่นเต้นกว่าเดิม “เราจะรอให้แม่นางมู่มาทำลายตำหนักของเรา
ฮ่า ฮ่า!”
หลังจากหัวเราะ
เขาก็เดินจากไป
บุตรสาวตระกูลมู่ผู้นั้นช่างน่าสนใจ
ถ้าเธอไม่ใช่คนไร้ค่า เขาย่อมขอให้เสด็จพ่อยกเธอให้กับเขา เสียดายที่เขาไม่อาจลืมเลือนความงามของเธอได้…
“ไปกันเถอะ”
มู่หรูเยว่เหลือบมองเย่อู๋เฉิน
เธอเห็นเขากำลังจับจ้องไปยังทิศทางที่เย่อี้ฮวาเดินจากไป
หลังได้ยินมู่หรูเยว่เรียก เย่อู๋เฉินก็รู้สึกตัวกลับมาเป็นปกติเขาสั่นศีรษะ “ชายา
ข้ามีเรื่องต้องกลับไปที่ตำหนัก”
“ตกลง เจ้ากลับไปก่อน
อีกครู่หนึ่งข้าจะไปหาเจ้าที่นั่น”
ในเมื่อการประลองกำลังจะเริ่มต้น
มู่หรูเยว่จึงเอ่ยอย่างเร่งรีบและตรงไปที่ลานประลอง หลังร่างของนางเดินจากไป เย่อู๋เฉินก็เดินไปยังทิศทางตรงกันข้าม
เนื่องมาจากการประลองครั้งนี้จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่
ผู้คนในเมืองเฟิ่งเฉิงต่างก็มารอชมเรื่องสนุก
ในตอนนั้นเองบริเวณพื้นที่หวงห้ามที่เย่อี้ฮวาเพิ่งก้าวเข้าไป
พลันมีร่างหนึ่งกระโดดลงมา ยืนขวางเอาไว้
คนผู้นั้นสวมชุดยาวลายจันทร์เสี้ยวสีขาวเย็บขอบด้วยด้ายเงินและด้ายทอง
อีกทั้งยังสวมหน้ากากสีเงิน ขณะนี้กำลังยืนจ้องเย่อี้ฮวาด้วยสายตาชั่วร้าย
ริมฝีปากหยักโค้งอย่างเย้ยหยัน
เย่อี้ฮวาขมวดคิ้ว “ขอถามว่าท่านเป็นใคร? ทำไมต้องขวางทางเราด้วย?”
เขามีทั้งอิทธิพลและอำนาจ
ไม่คาดคิดว่าก่อนว่าเคยไปสร้างศัตรูไว้ที่ไหน ผู้ใดกันที่ต้องการชีวิตเขา?
โครม!
ชายหนุ่มไม่พูดพร่ำทำเพลงเตะหน้าท้องเย่อี้ฮวาอย่างรุนแรง
แรงเตะนั้นส่งร่างชายหนุ่มลอยละลิ่วไปกองกับพื้น
จากนั้นก็ถูกกระชากตัวขึ้นและกระหน่ำชกที่ใบหน้าอีกไม่รู้กี่ครั้ง
วิทยายุทธ์ของเย่อี้ฮวาไม่ถึงกับเลวร้ายแต่เมื่ออยู่ต่อหน้าชายผู้นี้
เขารู้สึกราวกับพลังเหือดหายไปทั้งร่าง ไม่สามารถตอบโต้ได้เลยแม้แต่น้อย
หมัดสุดท้ายซัดลงไปอย่างแรงที่จมูก
กระทั่งเย่อี้ฮวากระอักเลือดออกทางปาก
ชายหนุ่มคลี่ยิ้มอย่างพึงใจจ้องมองเย่อี้ฮวาซึ่งหน้าบวมปูดไปทั้งหน้าจากฤทธิ์หมัดของเขา
ก่อนจะโยนร่างของเย่อี้ฮวาลงกับพื้นราวกับกองขยะ พลางเตะซ้ำอีกสองสามครั้ง
“จำเอาไว้
ผู้หญิงทุกคนน่ะ... ต่อให้เจ้าต้องการก็ใช่ว่านางจะเป็นของเจ้า”
ช่างเป็นอาจารย์ที่หลงศิษย์นัก 55555+
ReplyDeleteสามีหึงโหดนะนี่
ReplyDeleteน่อววววว คนโง่งมกลับเป็นคนมีวรยุทธ์สูงส่งยิ่งนัก
ReplyDeleteอาจารย์มีความเห่อศิษย์ ว่าที่สามีก็มีความหลงในว่าที่ภรรยายิ่งนัก เฮ้อ
ReplyDelete