บทที่ 129 ข้าจะรอคำอธิบายจากท่าน
“อาวุโสจ้าว เรื่องที่เหลือยกให้เป็นหน้าที่ของท่าน” มู่หรูเยว่อ้าปากหาว นางเร่งรีบจากการเดินทางที่กินเวลาทั้งเดือนเพียงเพื่อถูกเรียกเข้าเฝ้าในวังหลวงจึงยังไม่มีโอกาสได้พักผ่อน ในเมื่อเรื่องทุกอย่างเรียบร้อยแล้วนางควรกลับไปที่เรือนมู่เสียที
ทันใดนั้น นางเงยหน้าขึ้นจ้องมองใบหน้าหล่อเหลาราวเทพบุตรของชายหนุ่มแต่นางไม่เอ่ยความใดๆ เมื่อเย่อู๋เฉินรู้ว่าสายตาของนางจ้องมองมา หัวใจเขาก็บีบเกร็ง ใบหน้าหล่อเหลาของเขาเผยร่องรอยของความกังวล
เขารู้สึกกลัวจริงๆ กลัวว่านางจะเว้นระยะห่างจากเขา และกลัวว่านางจะไม่ยกโทษให้เขาไปชั่วชีวิต
ความกลัวเข้าเกาะกุมจิตใจของเขา กระทั่งไม่กล้าเผชิญหน้ากับมู่หรูเยว่ เขายกมือขึ้นหมายจะสัมผัสไหล่ของนาง แต่เมื่อปลายนิ้วกำลังจะถูกร่างของนาง เขาก็ลดมือลง แววตาของเขาแฝงด้วยความสับสนและกังวล ราวกับคนที่ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอธิบายกับนางอย่างไรดี
บอกนางว่าที่เขาทำไปเพราะไม่มีทางเลือก?
หากการหลอกลวงก็คือการหลอกลวง ไม่ว่าจะนำเหตุผลอะไรมากล่าวอ้างก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงความจริงนี้ได้
ความเงียบเข้าเกาะกุมคนทั้งสอง หลังจากนั้นไม่นาน น้ำเสียงของเด็กสาวก็ดังขึ้นเบาๆข้างหูเขา “ข้าจะรอคำอธิบายจากท่าน”
เมื่อกล่าวจบ มู่หรูเยว่ก็หมุนตัวเดินออกจากวัง
ยามที่ร่างในอาภรณ์สีขาวหายลับไปจากสายตา หัวใจของเย่อู๋เฉินค่อยรู้สึกผ่อนคลายลง รอยยิ้มเปี่ยมเสน่ห์ปรากฏบนใบหน้าหล่อเหลาของเขา ดีเหลือเกินที่นางไม่เพิกเฉยต่อเขาและเปิดโอกาสให้เขาได้อธิบาย...
ค่ำคืนนี้บรรยากาศเหมือนน้ำ ดั่งสายลมกลางคืนพัดปลิว
มู่หรูเยว่ยืนอยู่ริมหน้าต่าง สายลมกลางคืนพัดเส้นผมของนางปลิวคลอเคลียไปกับใบหน้าของนาง นางเงยหน้ามองท้องฟ้าเบื้องนอกหน้าต่าง แววตาของนางแฝงด้วยความสับสนปนเป
เย่อู๋เฉินเดินมาหยุดยืนข้างหลัง และจ้องมองเด็กสาวที่ยืนอยู่ริมหน้าต่าง บุคลิกของเขาช่างหล่อเหลาสง่างามเสียจนทวยเทพรู้สึกขุ่นเคือง นัยน์ตาทรงเสน่ห์คู่นั้นแฝงไปด้วยความรักลึกล้ำราวกับทั้งชีวิตนี้มีเพียงนางคนเดียวอยู่ในสายตา
“เมื่อประมาณสิบปีก่อน คืนนั้นครอบครัวของข้าถูกสำนักเซิ่งหนวี่สังหารพร้อมกับอีกสามร้อยชีวิตในตำหนักหนานอัน เหลือไว้แต่ข้าเพียงคนเดียว เสด็จพ่อบอกว่าหากต้องการมีชีวิตต่อไป ข้าต้องปลอมตัวเป็นคนที่ผู้อื่นไม่สนใจ นับจากนั้นเป็นต้นมาข้าก็ทำตัวโง่งมมาตลอด ผู้คนต่างก็เข้าใจว่าสมองของข้าหยุดพัฒนาไปตั้งแต่เหตุการณ์เมื่อคืนนั้น…”
ค่ำคืนนั้นกลายเป็นฝันร้ายที่ตามหลอกหลอนมาทั้งชีวิต ครอบครัวสุขสันต์กลับสูญสลายในพริบตา ยามนั้นบิดาซ่อนตัวเขาเอาไว้ จึงโชคดีรอดพ้นชีวิตจากหายนะครั้งนั้น
หลังจากที่เขากลายเป็นคนโง่เง่า และสำนักเซิ่งหนวี่เองก็ไม่อยากกระทำชั่วไปมากกว่านี้ จึงไม่ตัดรากถอนโคนให้สิ้นซาก แต่ถึงอย่างนั้นความชั่วช้าที่สำนักเซิ่งหนวี่กระทำไปนั้นน้อยเสียที่ไหน? มีคนบริสุทธิ์กี่คนต้องมาตายด้วยเงื้อมมือของสำนักเซิงหนวี่?
“แล้ว กุ่ยหวัง มีที่มาอย่างไร? ข้าสงสัยมาตลอด แผลเป็นบนร่างกายของเจ้าถึงจะน่ากลัวแต่ก็ยังไม่น่ากลัวถึงขั้นนั้น” มู่หรูเยว่หันหน้ากลับมาช้าๆ จ้องมองใบหน้าหล่อเหลาของชายหนุ่มพลางเอ่ยถาม
ชายหนุ่มคลี่ยิ้มออกมา รอยยิ้มของช่างสะกดสายตาราวกับดอกม่านถัวหลัวที่ล่อลวงจิตใจผู้คน
“เป็นเพราะสาวใช้ผู้หนึ่งบังเอิญรู้ความลับของข้าเข้า ข้าจึงทำให้นางกลายเป็นคนเสียสติ และเพื่อไม่ให้ในตำหนักมีคนพลุกพล่านจนเกินไป ข้าจึงให้ลูกน้องปล่อยข่าวลือว่าข้ามีรูปลักษณ์เหมือนภูตผี เมื่อประกอบกับสาวใช้ที่เสียสติจึงไม่มีใครอยากเข้ามาในตำหนักกุ่ยหวังนับจากนั้นเป็นต้นมา ยิ่งทำให้ข้าสามารถเคลื่อนไหวได้ง่ายขึ้น”
มู่หรูเยว่เลิกคิ้วพลางเอ่ย “ท่านแกล้งทำตัวโง่เง่าตลอดหลายปีเนื่องมาจากสำนักเซิ่งหนวี่? ช่างน่าขันที่ข้าโง่งมอยู่ตั้งนาน”
-----
ตบ ทำไมไม่ตบ ฮือออ... ตะเตือนไต
“อาวุโสจ้าว เรื่องที่เหลือยกให้เป็นหน้าที่ของท่าน” มู่หรูเยว่อ้าปากหาว นางเร่งรีบจากการเดินทางที่กินเวลาทั้งเดือนเพียงเพื่อถูกเรียกเข้าเฝ้าในวังหลวงจึงยังไม่มีโอกาสได้พักผ่อน ในเมื่อเรื่องทุกอย่างเรียบร้อยแล้วนางควรกลับไปที่เรือนมู่เสียที
ทันใดนั้น นางเงยหน้าขึ้นจ้องมองใบหน้าหล่อเหลาราวเทพบุตรของชายหนุ่มแต่นางไม่เอ่ยความใดๆ เมื่อเย่อู๋เฉินรู้ว่าสายตาของนางจ้องมองมา หัวใจเขาก็บีบเกร็ง ใบหน้าหล่อเหลาของเขาเผยร่องรอยของความกังวล
เขารู้สึกกลัวจริงๆ กลัวว่านางจะเว้นระยะห่างจากเขา และกลัวว่านางจะไม่ยกโทษให้เขาไปชั่วชีวิต
ความกลัวเข้าเกาะกุมจิตใจของเขา กระทั่งไม่กล้าเผชิญหน้ากับมู่หรูเยว่ เขายกมือขึ้นหมายจะสัมผัสไหล่ของนาง แต่เมื่อปลายนิ้วกำลังจะถูกร่างของนาง เขาก็ลดมือลง แววตาของเขาแฝงด้วยความสับสนและกังวล ราวกับคนที่ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอธิบายกับนางอย่างไรดี
บอกนางว่าที่เขาทำไปเพราะไม่มีทางเลือก?
หากการหลอกลวงก็คือการหลอกลวง ไม่ว่าจะนำเหตุผลอะไรมากล่าวอ้างก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงความจริงนี้ได้
ความเงียบเข้าเกาะกุมคนทั้งสอง หลังจากนั้นไม่นาน น้ำเสียงของเด็กสาวก็ดังขึ้นเบาๆข้างหูเขา “ข้าจะรอคำอธิบายจากท่าน”
เมื่อกล่าวจบ มู่หรูเยว่ก็หมุนตัวเดินออกจากวัง
ยามที่ร่างในอาภรณ์สีขาวหายลับไปจากสายตา หัวใจของเย่อู๋เฉินค่อยรู้สึกผ่อนคลายลง รอยยิ้มเปี่ยมเสน่ห์ปรากฏบนใบหน้าหล่อเหลาของเขา ดีเหลือเกินที่นางไม่เพิกเฉยต่อเขาและเปิดโอกาสให้เขาได้อธิบาย...
ค่ำคืนนี้บรรยากาศเหมือนน้ำ ดั่งสายลมกลางคืนพัดปลิว
มู่หรูเยว่ยืนอยู่ริมหน้าต่าง สายลมกลางคืนพัดเส้นผมของนางปลิวคลอเคลียไปกับใบหน้าของนาง นางเงยหน้ามองท้องฟ้าเบื้องนอกหน้าต่าง แววตาของนางแฝงด้วยความสับสนปนเป
เย่อู๋เฉินเดินมาหยุดยืนข้างหลัง และจ้องมองเด็กสาวที่ยืนอยู่ริมหน้าต่าง บุคลิกของเขาช่างหล่อเหลาสง่างามเสียจนทวยเทพรู้สึกขุ่นเคือง นัยน์ตาทรงเสน่ห์คู่นั้นแฝงไปด้วยความรักลึกล้ำราวกับทั้งชีวิตนี้มีเพียงนางคนเดียวอยู่ในสายตา
“เมื่อประมาณสิบปีก่อน คืนนั้นครอบครัวของข้าถูกสำนักเซิ่งหนวี่สังหารพร้อมกับอีกสามร้อยชีวิตในตำหนักหนานอัน เหลือไว้แต่ข้าเพียงคนเดียว เสด็จพ่อบอกว่าหากต้องการมีชีวิตต่อไป ข้าต้องปลอมตัวเป็นคนที่ผู้อื่นไม่สนใจ นับจากนั้นเป็นต้นมาข้าก็ทำตัวโง่งมมาตลอด ผู้คนต่างก็เข้าใจว่าสมองของข้าหยุดพัฒนาไปตั้งแต่เหตุการณ์เมื่อคืนนั้น…”
ค่ำคืนนั้นกลายเป็นฝันร้ายที่ตามหลอกหลอนมาทั้งชีวิต ครอบครัวสุขสันต์กลับสูญสลายในพริบตา ยามนั้นบิดาซ่อนตัวเขาเอาไว้ จึงโชคดีรอดพ้นชีวิตจากหายนะครั้งนั้น
หลังจากที่เขากลายเป็นคนโง่เง่า และสำนักเซิ่งหนวี่เองก็ไม่อยากกระทำชั่วไปมากกว่านี้ จึงไม่ตัดรากถอนโคนให้สิ้นซาก แต่ถึงอย่างนั้นความชั่วช้าที่สำนักเซิ่งหนวี่กระทำไปนั้นน้อยเสียที่ไหน? มีคนบริสุทธิ์กี่คนต้องมาตายด้วยเงื้อมมือของสำนักเซิงหนวี่?
“แล้ว กุ่ยหวัง มีที่มาอย่างไร? ข้าสงสัยมาตลอด แผลเป็นบนร่างกายของเจ้าถึงจะน่ากลัวแต่ก็ยังไม่น่ากลัวถึงขั้นนั้น” มู่หรูเยว่หันหน้ากลับมาช้าๆ จ้องมองใบหน้าหล่อเหลาของชายหนุ่มพลางเอ่ยถาม
ชายหนุ่มคลี่ยิ้มออกมา รอยยิ้มของช่างสะกดสายตาราวกับดอกม่านถัวหลัวที่ล่อลวงจิตใจผู้คน
“เป็นเพราะสาวใช้ผู้หนึ่งบังเอิญรู้ความลับของข้าเข้า ข้าจึงทำให้นางกลายเป็นคนเสียสติ และเพื่อไม่ให้ในตำหนักมีคนพลุกพล่านจนเกินไป ข้าจึงให้ลูกน้องปล่อยข่าวลือว่าข้ามีรูปลักษณ์เหมือนภูตผี เมื่อประกอบกับสาวใช้ที่เสียสติจึงไม่มีใครอยากเข้ามาในตำหนักกุ่ยหวังนับจากนั้นเป็นต้นมา ยิ่งทำให้ข้าสามารถเคลื่อนไหวได้ง่ายขึ้น”
มู่หรูเยว่เลิกคิ้วพลางเอ่ย “ท่านแกล้งทำตัวโง่เง่าตลอดหลายปีเนื่องมาจากสำนักเซิ่งหนวี่? ช่างน่าขันที่ข้าโง่งมอยู่ตั้งนาน”
-----
ตบ ทำไมไม่ตบ ฮือออ... ตะเตือนไต
posted from Bloggeroid
ค้างๆๆๆมากครา
ReplyDeleteรอคำอธิบายด้วยคนค่ะ...ขอบคุณค่ะ
ReplyDeleteขอบคุณค่า
ReplyDeleteรู้สึกเห็นหูลู่หางตกของกุ้ยหวัง
ReplyDeleteโหยคุณหมี~!!! เอามีดมาแทงกันเลยเถอะค่ะขอร้อง ทำไหมถึงปล่อยเราไว้บนยอดไม้อันเน็บหนาวแบบเน้
ReplyDeleteใจเย็นนะๆ ถ้าลงเพิ่มอีกตอนจะค้างหนักกว่า ฮึ๊บๆ ทวงคนพรูฟก่อน
Deleteแต่เรื่องแอ๊บแตกหลอกกินเต้าหู้ครั้งแล้วครั้งเล่านั่นยังไม่เคลียร์นะจ๊ะ คิคิ
ReplyDeleteก็ยังดีนางเป็นคนมีเหตุผล สมเทพทรู
ReplyDeleteรอคำอธิบาย นางโดนหลอกกินเต้าหู้มานานนนนน~~~~
ReplyDeleteเหตุผลที่เล่ามานั้นก็เข้าใจ แต่ที่หลอกกินเต้าหู้มานับครั้งไม่ถ้วนและหลอกไปถึงไหนต่อไหนนั้นจะอธิบายว่ายังไง
ReplyDeleteค้างมากเลยค่าาา
ReplyDeleteขอบคุณค่ะ...สนุกมากรอตอนต่อไปนะค่ะ
ReplyDeleteนุ้งแอ๊บแบ๊วคงได้เริ่มต้นทำคะแนนใหม่ละ 555555555
ReplyDeleteงอนไปยาวๆเลยลูก แม่เชียร์ หลอกกินเต้าหู้หลายรอบมาก
ReplyDeleteสนุกมากเลยค่ะ ขอบคุณไรท์ น่ารักที่สุด ^^
ReplyDeleteตบ....ด้วยริมฝีปาก
ReplyDeleteวะฮะฮ่า....กำลังมโนว่าเป็นตัวเองอยู่ อิอิ
ค้างค่ะขอบคุณไรท์มี่น่ารัก ขอบคุณค่ะ
ReplyDeleteนางงอลน่ารักอะ
ReplyDeleteเย่วเอ๋อร์นี่เป็นผู้กุมอำนาจแน่ๆ เฉินๆทั้งหลงทั้งรีกนางเลยนะเนี่ย
ReplyDelete