บทที่43 อาจารย์ ข้าไม่มีที่ไป
ภายในห้องปรุงยา
มู่หรูเยว่จ้องมองอู๋หวีเขม็ง สายตาของเธอทำเอาอู๋หวีรู้สึกขนลุก
เขาลูบใบหน้าตัวเองพลางถาม “ศิษย์รัก
มีอะไรงอกอยู่บนหน้าอาจารย์เจ้าหรือจึงได้มองข้าแบบนั้น?
ถึงข้าจะรู้ตัวว่าข้าทั้งหล่อเหลาและสง่างาม
แต่เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องมองข้าแบบนี้ก็ได้”
มู่หรูเยว่กวาดสายตามองเขาอย่างสำรวจ แต่ไม่เห็นส่วนไหนที่บ่งบอกว่าทั้งหล่อเหลาและสง่างามของเขาได้เลย ‘เหตุใดข้าเห็นแค่ตาแก่ใจดีคนหนึ่งเท่านั้น?’
มู่หรูเยว่กวาดสายตามองเขาอย่างสำรวจ แต่ไม่เห็นส่วนไหนที่บ่งบอกว่าทั้งหล่อเหลาและสง่างามของเขาได้เลย ‘เหตุใดข้าเห็นแค่ตาแก่ใจดีคนหนึ่งเท่านั้น?’
นางถอนสายตาในที่สุด
“อาจารย์ ข้าไม่มีที่ไป”
อู๋หวีที่กำลังรวบรวมสมุนไพรชะงักหลังจากได้ยินคำพูดนั้น
เขาจ้องมองมู่หรูเยว่อย่างสงสัย “ไม่มีที่ไป? เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
“ง่ายๆ”
มู่หรูเยว่ยักไหล่ “ข้าถูกขับออกจากตระกูลก็เท่านั้น”
“หืม!?” อู๋หวีเบิกสายตากว้างด้วยความตื่นตะลึง เขาเอ่ย
“ตาแก่ตระกูลมู่นั่นกินยาผิดหรือ? ไม่ใช่ว่าเขาอยากเก็บคนมีความสามารถไว้เสริมกำลังให้ตระกูลหรอกหรือ?
เขาไล่เจ้าออกจากบ้าน? เจ้าล้อข้าเล่นหรือเปล่า? ตาแก่นั่นทั้งบ้าและโง่เง่า
แต่กลับเป็นผลดีกับข้า ฮ่าฮ่า! เมื่อเป็นเช่นนั้นข้าย่อมเป็นครอบครัวคนเดียวของเจ้า”
‘ครอบครัว...’
มู่หรูเยว่ไม่ได้ยินคำนั้นมานานเสียจนรู้สึกอุ่นวาบในใจ
“อาจารย์ ข้าเป็นศิษย์ของท่านมาหลายก็เดือนแล้วแต่ท่านยังไม่เคยมอบอะไรให้ข้าเลย
เช่นนั้นยกบ้านให้ข้าซักหลังดีหรือไม่? ข้าอยากได้สถานที่เงียบสงบซักแห่ง สถานที่ที่ไม่มีใครมารบกวนข้ายิ่งดี”
อู๋หวีเหลือบตามองเธอ
เอ่ยถาม “เจ้าไม่ใช่คู่หมั้นของกุ่ยหวังหรอกหรือ? เหตุใดจึงไม่ไปอยู่กับเขาเล่า?”
ถึงแม้คำเล่าลือของกุ่ยหวังจะไม่น่าฟังเท่าไหร่นัก
แต่ในความคิดของคนในสำนักล้วนแตกต่างจากคนทั่วไป
นอกเหนือจากได้พิสูจน์ความจริงด้วยตาตัวเอง
พวกเขาย่อมไม่มีทางเชื่อข่าวลือพวกนั้นง่ายๆ ดังนั้นอู๋หวีจึงสงสัยเรื่องของกุ่ยหวังเป็นอย่างมาก
อู๋หวีไม่รู้ว่ากุ่ยหวังผู้นั้นคู่ควรกับเด็กสาวของเขาหรือไม่
ถ้าไม่ใช่ เขาย่อมไม่ลังเลที่จะข่มขู่ฮ่องเต้ให้ล้มเลิกการแต่งงานเสีย ใครก็ไม่อาจบังคับศิษย์รักของเขาได้
“ท่านรู้ความแตกต่างของชายกับหญิงหรือไม่?
ถึงฮ่องเต้ผู้นั้นออกราชโองการให้ข้าแต่งงานกับเขา แต่วันแต่งงานยังไม่ถูกกำหนด
ยังไม่มีอะไรแน่นอน ใครจะรู้ว่าสุดท้ายข้าจะแต่งกับเขาหรือไม่?”
‘ตอนที่ข้ารับปากแต่งงานเพียงเพราะอยากได้สถานที่เงียบสงบเพื่อเก็บตัวฝึกวิชา
ใครจะรู้ว่าข้าสามารถออกจากตระกูลมู่อย่างง่ายดายถึงเพียงนี้?
แล้วข้ายังจำเป็นต้องแต่งงานกับเขาอยู่อีกหรือ?’
ในตอนนั้นนัยน์ตาใสบริสุทธิ์ของเย่อู๋เฉินปรากฏขึ้นในความคิด
ทำเอาหัวใจของมู่หรูเยว่สั่นไหว
“สาวน้อย
ข้ามีบ้านหลังหนึ่งที่ถนนหวนหยวน ข้าจะมอบกุญแจให้เจ้า
เจ้าสามารถไปอยู่ที่นั่นได้”
เมื่อคิดถึงสีหน้าของมู่ชิงยามที่เขารู้ตัวว่าเขาได้ขับไล่ยอดอัจฉริยะออกจากตระกูล อู๋หวีก็อดไม่ได้ต้องหัวเราะออกมา
เขาย่อมเสียใจมากเสียจนอยากเอาหัวโขกกำแพงเป็นแน่
“ในเมื่อท่านมีบ้านอยู่ในเมืองเฟิ่งเฉิง เหตุใดยังต้องพักอยู่ที่โรงเตี๊ยมอีก?”
เมื่อได้ยินคำถามของมู่หรูเยว่
อู๋หวีจึงเอ่ยตอบ "เหตุใดข้าต้องมายุ่งยาก จัดการเรื่องคนรับใช้หรือปัญหาในบ้านด้วย ไม่สู้อยู่โรวเตี๊ยม ที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็มีคนร้บใช้ในยามที่ข้าต้องการเสมอ"
ความขี้เกียจของอู๋หวีเป็นที่เลื่องลือในหมู่สมาชิกของสำนักชิงหยุน
ถึงเขาจะเป็นถึงหัวหน้านักปรุงยา แต่ก็ไม่ชอบเข้าไปจัดการดูแลนักปรุงยาคนอื่นๆ
เขามัวแต่วุ่นวายอยู่กับการฝึกปรือฝีมือตัวเองเท่านั้น
ถนนหวนหยวนเป็นถนนที่เงียบสงบที่สุดในเมืองเฟิ่งเฉิง
ถึงแม้จะมีร้านรวงมากมาย แต่ผู้คนที่จับจ่ายใช้สอยกลับบางตา
เมื่อมู่หรูเยว่เข้ามาในบ้านที่อู๋หวียกให้นางนั้น นางก็รู้สึกได้ว่ามีพลังงานสายหนึ่งปะทะเข้ามาที่ร่าง
“ได้ยินมาว่าบ้านที่ถนนหวนหยวนเป็นแหล่งรวมพลังงาน
ดูเหมือนว่าจะจริง ความเข้มข้นของพลังงานระดับนี้หาจากที่อื่นไม่ได้เป็นแน่
ถ้าได้ฝึกฝนที่นี่ ความก้าวหน้าในการฝึกวิทยายุทธ์ย่อมใช้เวลาน้อยกว่าเดิมครึ่งหนึ่ง
แต่ผลลัพธ์กลับเพิ่มเป็นเท่าตัว”
บทที่44 ผู้ฝึกวิทยายุทธ์ขั้นสี่
ยามค่ำคืนหลังจากมู่หรูเยว่หยุดฝึกปรือสมาธิ นางค่อยผ่อนลมหายใจและเงยหน้ามองดวงจันทร์ที่สุกสกาวอยู่นอกหน้าต่าง
ส่องแสงเจิดจ้าราวกับแสงไฟ
เพียงคืนแรกของการฝึกฝน นางก็สามารถเลื่อนระดับเข้าสู่ผู้ฝึกวิทยายุทธ์ขั้นสี่
พละกำลังของนางในตอนนี้เพียงพอแค่เอาตัวรอด แต่ยังไม่อาจเรียกได้ว่าแข็งแกร่ง
////
เวลาสามวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ลำดับการแข่งขันของผู้เข้าประลองที่เหลือถูกประกาศในช่วงนั้นเอง บ้างก็ผิดหวัง
บ้างก็ดีใจ
แน่นอนว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสามวันก่อนยังถูกนำมาวิพากย์วิจารณ์กันอย่างสนุกปาก
ทุกคนต่างก็คิดว่ามู่ถิงเอ๋อร์จะไม่เข้าร่วมการประลองต่อ แต่นางกลับติดตามมู่ชิงมาร่วมการประลองในวันนี้
ทุกคนต่างก็คิดว่ามู่ถิงเอ๋อร์จะไม่เข้าร่วมการประลองต่อ แต่นางกลับติดตามมู่ชิงมาร่วมการประลองในวันนี้
มู่ถิงเอ๋อร์ในวันนี้ดูสงบเสงี่ยมกว่าเดิมเมื่อเทียบกับครั้งก่อนๆ จะยกเว้นก็แต่ตอนที่นางจ้องมองมู่หรูเยว่ นัยน์ตาคู่สวยกลับฉายแววเคียดแค้นเข้ากระดูก
เมื่อเย่เทียนเฟิงเห็นมู่ถิงเอ๋อร์ปรากฏตัว หัวใจของเขารู้สึกปั่นป่วน เขาดูเหมือนต้องการเข้ามาพูดคุยบางอย่างกับนางแต่สุดท้ายก็ยังคงนั่งนิ่งไม่ขยับ มู่ถิงเอ๋อร์อยากให้เขาเข้ามาพูดคุยกับนาง แต่เมื่อเห็นท่าทีเฉยเมยของเขา หัวใจก็เย็นเฉียบ
‘เขาสัญญากับข้าเมื่อสามวันก่อนว่า
เขาจะมาหาข้าหลังจบการประลอง จนบัดนี้เขาก็ยังไม่มา...’
เมื่อนึกถึงเรื่องนั้น มู่ถิงเอ๋อร์ก็รู้ฝึกขมปร่าในคอ เธอคิดไม่ถึงว่าชายที่นางรักจนหมดใจกลับไม่อยู่เคียงข้างนางในยามที่นางต้องการเขาที่สุด
เขาทำกับนางขนาดนี้ เหตุใดนางยังไม่อาจตัดใจจากเขา?
ทันใดนั้น มีเสียงดังขึ้นทำให้มู่ถิงเอ๋อร์ถอนสายตากลับมา
"ดูนั่น มู่หรูเยว่จากตระกูลมู่ นางคิดจะทำอะไรน่ะ?”
เมื่อมู่ถิงเอ๋อร์ได้ยินชื่อ ‘มู่หรูเยว่’ ความเกลียดชังก็ผุดวาบในนัยน์ตา
‘ใช่แล้ว ทั้งหมดเป็นความผิดของนังนั่น! ถ้าไม่เพราะนาง ข้าย่อมได้เป็นชายาเอกของรัชทายาท ทำไมข้าต้องมาเข้าร่วมการประลองเช่นนี้ด้วย? ยิ่งไปกว่านั้นถ้าข้าไม่ได้เข้าร่วมการประลองในครั้งนี้จะเกิดเรื่องน่าอัปยศเช่นนั้นได้อย่างไร?’
‘นางควรจะตายไปตั้งนานแล้ว’
‘นั่งนั่นไม่เคยได้รับทั้งความรักจากบิดามารดา แม้แต่รัชทายาทก็ยังรังเกียจนาง ในเมื่อไม่มีใครสนว่านางจะมีชีวิตอยู่หรือไม่ ทำไมถึงไม่รีบตายๆไปเสีย?’
คนไร้ค่าย่อมไม่คู่ควรใช้ชีวิตอยู่ในโลก!
เมื่อรับรู้ถึงสายตาอาฆาตกำลังจ้องมองนางจากเบื้องล่าง มู่หรูเยว่ค่อยเลื่อนสายตาไปหยุดอยู่ที่มู่ถิงเอ๋อร์ครู่หนึ่ง ก่อนจะเลื่อนสายตาจากไปอย่างไม่ใส่ใจ
“การประลองหนึ่งต่อหนึ่งน่าเบื่อเกินไป ทำไมถึงได้มีผู้ที่ผ่านรอบแรกมากมายถึงเพียงนี้? ให้ทุกคนเข้ามาสู้กับข้า! ข้าไม่มีเวลามาสู้กับพวกเจ้าทุกคน”
คำพูดของเด็กสาวราวกับสายฟ้าที่ฟาดลงมากลางใจของฝูงชน ต่างก็เบิกตากว้างจ้องมองเด็กสาวที่งามสะดุดตาบนเวลาประลองอย่างแปลกใจ
ต่อสู้กับทุกคนในคราเดียว?
นางคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน? นางเป็นแค่ผู้ฝึกวิทยายุทธ์ขั้นสามกลับกล้าท้าประลองเช่นนั้นต่อหน้าฝูงชน? สมองนางยังปกติดีอยู่หรือไม่? คนธรรมดาย่อมไม่มีทางพูดแบบนางแน่
อย่าว่าแต่ผู้ฝึกวิทยายุทธ์ขั้นสี่อย่างมู่ถิงเอ๋อร์เลย ต่อให้เป็นใครซักคนที่อยู่ที่นี่ก็สามารถเอาชนะนางได้อย่างง่ายดาย
สีหน้าของมู่ชิงกลายเป็นสีแดงจัด พยายามข่มกลั้นความโกรธที่อยากสั่งสอนมู่หรูเยว่ให้รู้สำนึก เขาตะโกนเสียงดังอย่างกราดเกรี้ยว “นังเด็กดื้อ เลิกทำให้ตัวเองอับอายขายหน้า แล้วลงจากเวทีเดี๋ยวนี้!”
‘นางยังทำให้ตัวเองอับอายขายหน้าไม่พออีกหรือ? มีเด็กที่ไหนหยิ่งยะโสเช่นนางบ้าง? ถ้านางมีความสามารถก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ด้วยความสามารถของนางในตอนนี้มีแต่รนหาที่ตายชัดๆ’
มู่หรูเยว่เลิกคิ้วขึ้นขณะจ้องมองมู่ชิงที่ยังแสดงสีหน้าบิดเบี้ยว “ข้าถูกท่านขับออกจากตระกูลมู่ไปแล้ว ดังนั้นท่านมีสิทธิ์อะไรมาสั่งสอนข้า?”
“เจ้า...” นิ้วที่ชี้ไปทางมู่หรูเยว่สั่นด้วยความโกรธ มู่ชิงรู้สึกเสียใจจริงๆที่ปล่อยให้เด็กสาวดื้อดึงอย่างนางเกิดมา นัยน์ตาของเขาจับจ้องอย่างดุร้าย พลางหัวเราะออกมาด้วยความโกรธ “เยี่ยม! เยี่ยมมาก! เจ้าอย่าผิดหวังในสิ่งที่เจ้าพูดออกมาวันนี้ก็แล้วกัน!”
เมื่อนึกถึงเรื่องนั้น มู่ถิงเอ๋อร์ก็รู้ฝึกขมปร่าในคอ เธอคิดไม่ถึงว่าชายที่นางรักจนหมดใจกลับไม่อยู่เคียงข้างนางในยามที่นางต้องการเขาที่สุด
เขาทำกับนางขนาดนี้ เหตุใดนางยังไม่อาจตัดใจจากเขา?
ทันใดนั้น มีเสียงดังขึ้นทำให้มู่ถิงเอ๋อร์ถอนสายตากลับมา
"ดูนั่น มู่หรูเยว่จากตระกูลมู่ นางคิดจะทำอะไรน่ะ?”
เมื่อมู่ถิงเอ๋อร์ได้ยินชื่อ ‘มู่หรูเยว่’ ความเกลียดชังก็ผุดวาบในนัยน์ตา
‘ใช่แล้ว ทั้งหมดเป็นความผิดของนังนั่น! ถ้าไม่เพราะนาง ข้าย่อมได้เป็นชายาเอกของรัชทายาท ทำไมข้าต้องมาเข้าร่วมการประลองเช่นนี้ด้วย? ยิ่งไปกว่านั้นถ้าข้าไม่ได้เข้าร่วมการประลองในครั้งนี้จะเกิดเรื่องน่าอัปยศเช่นนั้นได้อย่างไร?’
‘นางควรจะตายไปตั้งนานแล้ว’
‘นั่งนั่นไม่เคยได้รับทั้งความรักจากบิดามารดา แม้แต่รัชทายาทก็ยังรังเกียจนาง ในเมื่อไม่มีใครสนว่านางจะมีชีวิตอยู่หรือไม่ ทำไมถึงไม่รีบตายๆไปเสีย?’
คนไร้ค่าย่อมไม่คู่ควรใช้ชีวิตอยู่ในโลก!
เมื่อรับรู้ถึงสายตาอาฆาตกำลังจ้องมองนางจากเบื้องล่าง มู่หรูเยว่ค่อยเลื่อนสายตาไปหยุดอยู่ที่มู่ถิงเอ๋อร์ครู่หนึ่ง ก่อนจะเลื่อนสายตาจากไปอย่างไม่ใส่ใจ
“การประลองหนึ่งต่อหนึ่งน่าเบื่อเกินไป ทำไมถึงได้มีผู้ที่ผ่านรอบแรกมากมายถึงเพียงนี้? ให้ทุกคนเข้ามาสู้กับข้า! ข้าไม่มีเวลามาสู้กับพวกเจ้าทุกคน”
คำพูดของเด็กสาวราวกับสายฟ้าที่ฟาดลงมากลางใจของฝูงชน ต่างก็เบิกตากว้างจ้องมองเด็กสาวที่งามสะดุดตาบนเวลาประลองอย่างแปลกใจ
ต่อสู้กับทุกคนในคราเดียว?
นางคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน? นางเป็นแค่ผู้ฝึกวิทยายุทธ์ขั้นสามกลับกล้าท้าประลองเช่นนั้นต่อหน้าฝูงชน? สมองนางยังปกติดีอยู่หรือไม่? คนธรรมดาย่อมไม่มีทางพูดแบบนางแน่
อย่าว่าแต่ผู้ฝึกวิทยายุทธ์ขั้นสี่อย่างมู่ถิงเอ๋อร์เลย ต่อให้เป็นใครซักคนที่อยู่ที่นี่ก็สามารถเอาชนะนางได้อย่างง่ายดาย
สีหน้าของมู่ชิงกลายเป็นสีแดงจัด พยายามข่มกลั้นความโกรธที่อยากสั่งสอนมู่หรูเยว่ให้รู้สำนึก เขาตะโกนเสียงดังอย่างกราดเกรี้ยว “นังเด็กดื้อ เลิกทำให้ตัวเองอับอายขายหน้า แล้วลงจากเวทีเดี๋ยวนี้!”
‘นางยังทำให้ตัวเองอับอายขายหน้าไม่พออีกหรือ? มีเด็กที่ไหนหยิ่งยะโสเช่นนางบ้าง? ถ้านางมีความสามารถก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ด้วยความสามารถของนางในตอนนี้มีแต่รนหาที่ตายชัดๆ’
มู่หรูเยว่เลิกคิ้วขึ้นขณะจ้องมองมู่ชิงที่ยังแสดงสีหน้าบิดเบี้ยว “ข้าถูกท่านขับออกจากตระกูลมู่ไปแล้ว ดังนั้นท่านมีสิทธิ์อะไรมาสั่งสอนข้า?”
“เจ้า...” นิ้วที่ชี้ไปทางมู่หรูเยว่สั่นด้วยความโกรธ มู่ชิงรู้สึกเสียใจจริงๆที่ปล่อยให้เด็กสาวดื้อดึงอย่างนางเกิดมา นัยน์ตาของเขาจับจ้องอย่างดุร้าย พลางหัวเราะออกมาด้วยความโกรธ “เยี่ยม! เยี่ยมมาก! เจ้าอย่าผิดหวังในสิ่งที่เจ้าพูดออกมาวันนี้ก็แล้วกัน!”
บทที่45 ฉายเดี่ยว ตอนที่1
มู่หรูเยว่หัวเราะออกมาเล็กน้อย
“ต่อให้ท่านเสียใจแต่ข้าไม่.. มู่ถิงเอ๋อร์เจ้าก็ขึ้นมาด้วยสิ หลังข้าสู้กับทุกคนจบแล้ว
ข้าจะได้กลับไปนอนเสียที”
ท่าทีของมู่หรูเยว่ดูยะโสโอหังยิ่งนัก
บรรดาเด็กหนุ่มที่แข็งแกร่งต่างก็โกรธแค้นแทบลุกเป็นไฟ
เขาแทบทนรอไม่ไหวที่จะพุ่งขึ้นไปสั่งสอนให้รู้สำนึกเสียบ้างจะได้รู้ว่ากบในกะลานั้นหมายความว่าอย่างไร
มีคนมากมายที่แข็งแกร่งกว่านาง และย่อมมีคนที่แข็งแกร่งกว่าคนพวกนั้นเสมอ
“หึ!” เย่เทียนเฟิงแค่นเสียงออกมาอย่างเย็นชาขณะจ้องมองมู่หรูเยว่
เขารู้ว่านางจงใจใช้วิธีนี้เพื่อเรียกร้องความสนใจ เหมือนก่อนหน้านี้ที่นางกระทำเรื่องต่างๆมากมายเมื่อเรียกร้องความสนใจจากเขา
เมื่อเป็นเช่นนั้น...
เขาจะให้โอกาสนางอับอายดูบ้าง...
เขาคลี่ยิ้มมุมปากเล็กน้อย เย่เทียนเฟิงคลี่พัดในมือพลางเอ่ยอย่างเย็นชา “เมื่อเจ้าต้องการเช่นนั้น
ข้าย่อมตามใจเจ้า การประลองในครั้งนี้จะเป็นการประลองหนึ่งต่อคนทั้งกลุ่ม
เท่ากับมู่หรูเยว่ท้าสู้ผู้แข่งขันทั้งยี่สิบคนในคราเดียว”
หนึ่งปะทะยี่สิบ?
นี่ย่อมทำให้มู่หรูเยว่พ่ายแพ้อย่างแน่นอน
เทียนหยวนขมวดคิ้วแล้วก็ถอนใจออกมา ดีเหมือนกันที่รีบจัดการเด็กที่ยะโสโอหังถึงเพียงนี้แต่เนิ่นๆ บางทีการเชื่อฝีมือตัวเองเกินไปก็ไม่ใช่เรื่องดี
คนที่หยิ่งยะโสแต่ไร้ซึ่งความสามารถย่อมต้องรับผลกรรมของตัวเอง
เมื่อได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฟิง
ผู้คนที่กำลังโกรธแค้นมู่หรูเยว่ต่างก็กำหมัดแน่น
แทบทนรอไม่ไหวที่จะขึ้นไปสั่งสอนนาง
“มู่หรูเยว่!” มู่ถิงเอ๋อร์ขบกรามแน่นจ้องมองเด็กสาวบนเวทีอย่างโกรธแค้น
มู่หรูเยว่ทำราวกับนางเป็นอากาศธาตุ นางแค่นเสียงออกมาคราหนึ่ง ค่อยแตะปลายเท้าลงกับพื้น
ออกแรงส่งเพื่อกระโดดขึ้นสู่ลานประลอง
เมื่อเห็นการกระทำของมู่ถิงเอ๋อร์
คนอื่นๆมองสบตากันและพากันตามขึ้นไปบนลานประลอง
บรรยากาศรอบสนามประลองเริ่มระอุขึ้น...
หลี่ลู่ที่ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนทำอะไรไม่ได้นอกจากรู้สึกกังวลแทนมู่หรูเยว่ นางเป็นเพียงผู้ฝึกวิทยายุทธขั้นสาม จะสามารถรับมือคนมากมายขนาดนี้ได้อย่างไร?
ยิ่งไปกว่านั้น ฝ่ายตรงข้ามยังมีมู่ถิงเอ๋อร์ที่เป็นถึงผู้ฝึกวิทยายุทธ์ขั้นสี่
ในตอนนั้นเอง
ใครคนหนึ่งเริ่มต้นโจมตีก่อน...
แส้สีเงินที่เคลื่อนไหวราวกับงูพุ่งเข้าหามู่หรูเยว่
สายตาเฉียบคมของนางสังเกตเห็นจึงตอบโต้กลับอย่างรวดเร็ว มู่หรูเยว่พลันยกเท้าเตะปลายแส้ออกก่อนจะเคลื่อนตัวไปด้านข้างส่งหมัดคืนให้คู่ต่อสู้คราหนึ่ง
กำปั้นหนักหน่วงอัดลงที่กลางหน้าอกของอีกฝ่ายอย่างจัง
เด็กหนุ่มผู้นั้นถอยกายไปสองก้าว
ก่อนจะร้องคำรามและพุ่งเข้าโจมตีมู่หรูเยว่อีกครั้ง
การเคลื่อนไหวของคนเหล่านี้เริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆจากความโกรธ
จำนวนของหมัดและเท้าที่โจมตีมู่หรูเยว่ยิ่งมากขึ้น และเร็วขึ้นเรื่อยๆ ราวกับต้องการใช้ประโยชน์ของจำนวนที่มากกว่ารังแกเธอให้ตาย
แต่เมื่อฝูงชนชมดูการประลองไปเรื่อยๆ
ก็เริ่มรู้สึกว่าบางสิ่งบางอย่างไม่ถูกต้อง...
“มู่หรูเยว่เป็นแค่ผู้ฝึกวิทยายุทธ์ขั้นสามจริงๆหรือ?”
“ไม่ถูกต้อง
การเคลื่อนไหวแบบนั้นเป็นของผู้ฝึกวิทยายุทธ์ขั้นสี่ หรือว่านางสามารถเลื่อนระดับได้ในเวลาเพียงสามวัน?”
สามารถเป็นผู้ฝึกวิทยายุทธ์ขั้นสี่ด้วยวัยเพียงสิบห้าปียังไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่นัก
มู่ถิงเอ๋อร์สามารถไปสำเร็จวิทยายุทธ์ขั้นสี่ในวัยเพียงสิบสี่ปี แต่เป็นไปได้หรือที่ผู้ฝึกวิทยายุทธ์ขั้นสี่ทั่วๆไปจะสามารถประลองกับคนกลุ่มใหญ่โดยไม่ได้รับบาดเจ็บ?
แน่นอนว่า
หากคนพวกนี้รับรู้ว่ามู่หรูเยว่ใช้เวลาฝึกฝนจากวิทยายุทธ์ขั้นหนึ่งจนถึงขั้นสี่ด้วยเวลาเพียงสามเดือน
นัยน์ตาพวกเขาคงแทบทะลุออกจากเบ้า นางยังนับเป็นอัจฉริยะได้อีกหรือ?
ต้องเรียกว่าปีศาจถึงจะถูก!
ตึง!
เย่เทียนเฟิงไม่อาจทนนั่งดูการประลองได้อีกต่อไป
เขาผุดลุกขึ้นจ้องมองมู่หรูเยว่เขม็ง
‘ผู้ฝึกวิทยายุทธ์ขั้นสี่?
เมื่อไหร่กันที่นางเลื่อนระดับถึงขั้นสี่ได้สำเร็จ? หากมู่ถิงเอ๋อร์ไม่ได้กินลูกกลอนมรกตเข้าไป
ต่อให้เป็นพรุ่งนี้นางก็ยังไม่มีทางเลื่อนถึงขั้นสี่ได้สำเร็จ
เป็นไปได้หรือที่พรสวรรค์ของมู่หรูเยว่จะเหนือกว่ามู่ถิงเอ๋อร์?’
เย่เทียนเฟิงพลันรู้สึกตัวเมื่อตอนนั้นเองว่าเขาได้มองข้ามบางสิ่งบางอย่างไป...
อัพเดตครั้งล่าสุด 08/02/2017
นางเจ๋งจริงๆ กล้าท้าเนอะ ระดับนางก็ไม่ไก้ต่างกันมาก แต่พวกเขาเยอะกว่านะ แล้วการประลองนี้เจ้าชายรัชทายาทเป็นคนสั่งได้ด้วยเหรอ ดูเป็นการประลองเด็กๆไปเลย / เป็นข้ารับใช้ที่ดีนะ เป็นคนดีจริงๆ
ReplyDeleteรู้ตัวเมื่อสายเสียแล้ว พ่อม้าสืบพันธ์
ReplyDelete