Pages

Last Modified: Friday, March 10, 2017

หมอยาเจ้าเสน่ห์: จอมใจราชาปีศาจ บทที่ 144-145

บทที่ 144 โศกนาฏกรรมของมู่อี้เสี่ย ตอนที่ 3


“ผลกรรม?” มู่หรูเยว่แค่นเสียงเย็นชา มุมปากเผยรอยยิ้มหยัน “เจ้าไม่เคยได้ยินประโยคนี้หรือ? ยอมทำลายสิบอารามดีกว่าทำลายการแต่งงานครั้งเดียว เจ้าคิดว่าผู้ใดควรรับผลกรรมก่อน?”

มู่อี้เสี่ยจับจ้องมู่หรูเยว่ด้วยสายตาดุร้ายพลางเอ่ยอย่างเล่นลิ้นว่า “ข้าเพียงต้องการรับใช้องค์ชายเป็นชายารองของเขาเท่านั้น มิได้ต้องการทำลายชีวิตแต่งงานของพวกเจ้า”

ได้เห็นท่าทีของมู่อี้เสี่ยที่ราวกับสุกรไม่กลัวน้ำร้อนแล้ว มู่หรูเยว่พลันรู้สึกอับจนหนทาง เด็กสาวผู้นี้ถูกมู่ชิงตามใจตั้งแต่เด็ก ดังนั้นจึงไม่กังวลถึงผลที่จะตามมา เย่อู๋เฉินนั้นแสดงเจตจำนงชัดเจนว่าไม่ต้องการชายารอง แต่นางก็ยังพยายามยกเรื่องนี้ขึ้นมา

“เสี่ยเอ๋อร์!” สีหน้าของมู่ชิงเปลี่ยนกะทันหัน เขารีบเอ่ย “ฝ่าบาท เห็นแก่เสี่ยเอ๋อร์ที่ยังเยาว์วัยไม่รู้ความ โปรดยกโทษให้นางสักครั้งเถิด ”

“เยาว์วัยไม่รู้ความ?” เย่อู๋เฉินกวาดมองนางด้วยสายตาเคร่งขรึม ใบหน้าหล่อเหลาของเขาราวกับมีม่านหมอกปกคลุมบางๆ “มู่อี้เสี่ยอายุห่างจากมู๋หรูเยว่เพียงสองปี ยังเยาว์วัยไม่รู้ความอีกหรือ? ในเมื่อนางอยากเป็นอนุถึงเพียงนี้ อย่างนั้นเราตัดสินใจให้เอง ให้นางแต่งกับ หวังป๋อ รองแม่ทัพในสังกัดทัพฮัวกว๋อในฐานะอนุก็แล้วกัน”

“ไม่นะ!” มู่อี้เสี่ยกรีดร้องออกมา นางเป็นถึงคุณหนูตระกูลมู่ผู้สูงศักดิ์กลับต้องมาเป็นอนุของรองแม่ทัพ? ยิ่งไปกว่านั้นได้ยินว่าใบหน้าของหวังป๋อเสียโฉมตั้งแต่ยังเล็ก หน้าตาอัปลักษณ์หาที่เปรียบ ไม่เพียงเท่านั้นเขายังเป็นทหารที่รู้จักใช้แต่กำลังไม่รู้วิธีถนอมอิสตรี

หากต้องกลายเป็นอนุของเขา ไม่เท่ากับส่งนางไปตายหรอกหรือ?

“ฮ่าฮ่า! ฝ่าบาท โปรดวางใจ หวังป๋อผู้นั้นเป็นลูกน้องของพ่อข้าเอง เรื่องนี้ข้าจะเป็นธุระจัดการให้อย่างดี” หลี่ลู่จ้องมองมู่อี้เสี่ย สายตาของเขาแฝงไปด้วยความเวทนา

หวังป๋อผู้นั้นมีอนุอยู่สองคน ได้ยินว่าทั้งสองล้วนถูกเขาทรมานปางตายขณะกระทำเรื่องบนเตียง ไม่รู้ว่าคุณหนูตระกูลมู่สามารถมีชีวิตรอดถึงครึ่งปีได้หรือไม่...

“ท่านพ่อ ท่านพ่อ ช่วยข้าด้วย! รีบช่วยข้าที! ข้าไม่อยากแต่งงานกับคนอัปลักษณ์นั่น ข้าไม่แต่ง!

“ฝ่าบาท เรื่องนี้…”

มู่ชิงต้องการร้องขอความเมตตา แต่ก่อนที่เขาจะได้เอ่ยต่อก็ถูกความกดดันพุ่งมาที่ร่างจนไม่สามารถเอ่ยอะไรได้อีก ได้แต่จ้องมองมู่อี้เสี่ยถูกหลี่ลู่ลากออกไปอย่างอับจนหนทาง

ยิ่งไปกว่านั้น โศกนาฏกรรมของมู่อี้เสี่ยย่อมเลวร้ายกว่าอนุที่ถูกทำร้ายจนตาย...

ก่อนที่จะนางจะเข้าจวนนั้นได้ถูกคนชุดดำทำลายวิทยายุทธ์ของนางจนสิ้น กลายเป็นคนไร้ค่าคนหนึ่ง ในคืนเข้าหอ หวังป๋อก็ค้นพบว่าร่างกายของนางไม่บริสุทธิ์มานานแล้ว เขาจึงจากไปด้วยโทสะ นับจากนั้นเป็นต้นมาหากเขารู้สึกไม่พอใจก็จะมาทุบตีนางอย่างทารุณ ในเวลาไม่ถึงครึ่งเดือน ใบหน้าของมู่อี้เสี่ยก็มีสภาพไม่ต่างกับคนก็ไม่ใช่ผีก็ไม่เชิง

เนื่องจากคำสั่งของกุ่ยหวัง คนของตระกูลมู่จึงไม่ได้รับอนุญาตให้พบมู่อี้เสี่ย ดังนั้นต่อให้มู่อี้เสี่ยวิงวอนต่อฟ้าดินให้ช่วยเหลือก็ไม่เป็นผล ได้แต่ทนรับการทรมาณอย่างทารุณของหวังป๋อ

เมื่อเทียบกับโศกนาฏกรรมของมู่อี้เสี่ยแล้ว มู่หรูเยว่ก็เก็บตัวฝึกฝนนับจากพวกเขาจากไป ภายในระยะเวลาหนึ่งเดือน ความแกร่งของนางก็เลื่อนสู่สู่ผู้ฝึกวิทยายุทธ์ระดับหกสำเร็จในที่สุด ส่วนทักษะการปรุงยานั้นยังคงไม่รุดหน้า แต่นางก็เริ่มคุ้นเคยกับมันมากขึ้น ยามนี้จึงสามารถปรุงยาระดับปฐพีชั้นกลางออกมาร้อยเม็ดในคราเดียว

นี่นับว่าเป็นความก้าวหน้าที่ไม่เลวเลยทีเดียว

ในช่วงที่มู่หรูเยว่เก็บตัวฝึกฝนอยู่นั้น ขั้วอำนาจวังหลวงในที่สุดก็ถูกกำจัด ฮ่องเต้สือเยว่นั้นถูกจองจำโดยคำสั่งของอาวุโสจ้าว ส่วนตำแหน่งฮ่องเต้นั้นตกเป็นของ เย่ลั่วย่า องค์ชายเก้าผู้อมโรค แต่เรื่องนั้นล้วนไม่เกี่ยวข้องกับมู่หรูเยว่ เวลานี้นาสนใจเพียงแต่วิธีการเพิ่มความแข็งแกร่งให้เร็วที่สุด

เพื่อที่จะสามารถเดินเคียงข้างกับชายหนุ่มผู้นั้น...

บทที่ 145 คนจากตระกูลเซียวแห่งเซิ่งจิ้ง ตอนที่1


ณ ตระกูลเซียวแห่งเซิ่งจิ้ง

เซียวเทียนอวี่มองหญิงสาวที่อยู่ข้างกายอย่างรู้สึกผิด เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ขอโทษด้วย อวี้เอ๋อร์ ที่ระยะนี้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นทำให้เจ้าต้องอยู่กับข้า จนไม่สามารถไปตามหาลูกสาวของเราได้”


“สามี ท่านไม่ต้องอธิบายแล้ว” ฮูหยินเซิ่งเยว่สั่นศีรษะเบาๆ ใบหน้างดงามของนางเผยรอยยิ้มที่สง่างามออกมา “พวกเราเป็นสามีภรรยากัน ย่อมเสมือนคนเดียวกัน ใครจะคาดคิดว่าหลังจากค้นพบที่อยู่ลูกสาวเรา สายลับในตระกูลเซียวกลับเผยตัว พยายามกลับไปรายงานเรื่องนี้ต่อตระกูลหนานกง โชคดีที่ข้าเร็วกว่าก้าวหนึ่ง จับตัวชายที่จับตัวลูกสาวเราไป จึงทำให้พวกเขาไม่อาจล่วงรู้ที่อยู่ของลูกสาวเรา เมื่อสิบกว่าปีก่อน ท่านเคยบุกเข้าตระกูลหนางกงด้วยดาบเล่มเดียว ในยามนี้เราไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวพวกเขา เพียงแต่ต้องกำจัดสายลับให้หมดเสียก่อนจึงค่อยพาลูกสาวกลับบ้าน ข้าไม่ต้องการให้มีเรื่องผิดพลาดใดเกิดขึ้นกับนาง”

เซียวเทียนอวี่ถอนใจออกมา พลางดึงร่างของฮูหยินเซิ่งเยว่เข้าสู่อ้อมกอด “ภรรยา พวกเราใกล้กำจัดสายลับพวกนั้นจนหมดแล้ว ถึงเวลาพาลูกสาวของเรากลับสู่ตระกูลเสียที บิดาอยากเจอลูกสาวของเรามานานแล้ว นางโดดเด่นเหมือนที่เจ้าเคยกล่าวถึงจริงหรือ?”

อาจเป็นเพราะฮูหยินเซิ่งเยว่นึกถึงข่าวที่ผู้คนเล่าขานปากต่อปาก หัวใจของนางพลันตื่นเต้นขึ้นมา

เด็กสาวผู้นั้นเป็นลูกสาวของพวกนางนั่นเอง ไม่แปลกใจเลยในยามที่นางได้เห็นเด็กสาวครั้งแรกกลับเกิดความรู้สึกอยากใกล้ชิดขึ้นมา สายเลือดย่อมตัดกันไม่ขาด นางได้พบลูกสาวของนางเมื่อครั้งนั้นแล้ว

ไม่นานมานี้ ฮูหยินเซิ่งเยว่ไปที่ตระกูลหนานกงเพื่อจับตัวคนผู้นั้นกลับมา และบังคับให้สารภาพทุกอย่างออกมา หลังจากนั้นนางส่งคนออกไปนอกเซิ่งจิ้งเพื่อสืบหาความจริง และได้ค้นพบเรื่องหนึ่ง

“นางย่อมโดดเด่นแน่นอน ไม่เพียงช่วยชีวิตชิงชิงเอาไว้ ยังเป็นผู้ชนะการประลองงานชุมนุมโอสถ แล้วยังได้ทำพันธสัญญากับ เตาวิหคเพลิง สมบัติวิเศษของสมาคมโอสถอีกด้วย นางประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อยขนาดนี้ ข้ารู้สึกภูมิใจในตัวนางจริงๆ”

เซียวเทียนอวี่คลี่ยิ้มพลางเอ่ย “เจ้าไม่เห็นหรือว่านางเป็นลูกสาวของผู้ใด? ลูกสาวของข้ากับอวี้เอ๋อร์ย่อมโดดเด่นแน่นอนอยู่แล้ว แต่ได้ยินเจ้ากล่าวเช่นนี้ ข้ายิ่งอยากพบลูกสาวของเรามากขึ้น ดังนั้น ภรรยา พวกเรารีบจัดการสายลับเหล่านั้นจะได้พาลูกสาวของเรากลับมาเถิด”

หากพวกเขาไม่กำจัดสายลับเหล่านั้น เขาคงไม่อาจวางใจพาลูกสาวสุดที่รักกลับตระกูล

“จริงสิ สามี ได่ยินว่าเซียวหมินออกไปข้างนอก ไม่รู้ว่านางจะทำให้ชื่อเสียงของตระกูลเซียวเสื่อมเสียหรือไม่” ฮูหยินเซิ่งเยว่ขมวดคิ้วหากันเล็กน้อย นัยน์ตาของนางฉายแววไม่พอใจ

“นั่นเป็นเพราะเด็กสาวผู้นั้น ทำให้ผู้คนในเซิ่งจิ้งเข้าใจว่าคุณหนูของตระกูลเซียวนั้นหยิ่งผยองและชอบใช้อำนาจ นางเป็นเพียงคนจากตระกูลสายรอง นับเป็นคุณหนูตระกูลเซียวไปได้อย่างไร? นางแค่อาศัยอำนาจของปู่นางที่เป็นผู้อาวุโสของตระกูล ประพฤติตัวไม่เกรงกลัวฟ้าดิน ครั้งก่อนยังคิดให้พวกเราเป็นพ่อแม่บุญธรรม เพื่อยกฐานะของนางให้กลายเป็นตระกูลสายตรง หลังจากพวกเราปฏิเสธไป นางกลับให้ปู่ของนางป่าวประกาศว่าข้ารับนางเป็นลูกสาวบุญธรรมเรียบร้อยแล้ว ข้าโกรธเสียจนอยากตบหน้านาง”

ฮูหยินเซิ่งเยว่แสดงท่าทีไม่พอใจ ไม่ว่าผู้ใดประสบเหตุการณ์เช่นนี้ย่อมรู้สึกไม่ดีเช่นกัน

“อยากตบก็ตบเถิด จำเป็นต้องใส่ใจด้วยหรือ?” เซียวเทียนอวี่จ้องมองฮูหยินเซิ่งเยว่อย่างอ่อนโยน พลางเอ่ย “อย่าลืมว่า เจ้าคือฮูหยินเซิ่งเยว่ หญิงที่สูงศักดิ์ที่สุดในดินแดนเซิ่งจิ้ง ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องใด ไม่จำเป็นต้องรักษาหน้าข้าด้วย ตาเฒ่ากับหลานสาวนั่นช่างยโสโอหัง หากเจ้าไม่ใช้ฐานะฮูหยินเซิ่งเยว่สั่งสอนพวกเขาให้ดี เกรงว่าพวกเขาจะยิ่งไม่เห็นเจ้าอยู่ในสายตา”

ฮูหยินเซิ่งเยว่กลั้วหัวเราะ นางตวัดมองเขาด้วยสายตาดุ “เรื่องนี้ท่านไม่จำเป็นต้องพูด ข้าไม่ยอมอดทนเพื่อตระกูลเซียวอีกต่อไป ไม่อย่างนั้นใครบางคนจะไม่เห็นความสำคัญของข้า”

Last Modified: Sunday, March 5, 2017

หมอยาเจ้าเสน่ห์: จอมใจราชาปีศาจ บทที่ 142-143

บทที่ 142 โศกนาฏกรรมของมู่อี้เสี่ย ตอนที่ 1


“มู่หรูเยว่ เจ้ามีฐานะอันใดใช้ให้กุ่ยหวังชงชาให้? เจ้าไม่รู้จักเจียมฐานะเอาเสียเลย สตรีควรที่จะดูแลบุรุษ เหตุใดจึงให้บุรุษมาดูแลเจ้าแทนเล่า? เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใคร? คนเยี่ยงเจ้าไม่คู่ควรเป็นชายาเอกของกุ่ยหวัง”

มู่ชิงร่างกายสั่นเทาไปทั้งร่าง ถลึงตามองมู่อี้เสี่ยด้วยสายตาดุร้าย

บุตรสาวของเขานั้นเดิมทีเป็นเด็กฉลาดว่านอนสอนง่าย เหตุใดทุกครั้งที่เจอกับมู่หรูเยว่ นางต้องพูดวาจาไร้หัวคิดเช่นนี้ออกมา? กุ่ยหวังนั้นฉายชัดว่ายินดีปรนนิบัตินางเยี่ยงหนวี่หวังของตน (ราชินี) เหตุใดเสี่ยเอ๋อร์ต้องยั่วยุโทสะของกุ่ยหวังด้วย? หากว่ากุ่ยหวังมีโทสะแล้วล่ะก็ เกรงว่าแผนการของเขาคงล้มไม่เป็นท่า

เย่อู๋เฉินเลื่อนสายตาไปทางมู่อี้เสี่ยที่มีท่าทีโกรธจัด มุมปากเขาขยับขึ้นเผยรอยยิ้มเปี่ยมเสน่ห์

รอยยิ้มนั้นทำให้หัวใจของมู่อี้เสี่ยสั่นไหว ใบหน้าอันน่าเอ็นดูของนางเป็นสีแดงเรื่อ นางจ้องมองเย่อู๋เฉินที่เดินมาหาอย่างขัดเขิน “ฝ่าบาท ข้า…”

โครม!

คำพูดของมู่อี้เสี่ยไม่ทันได้เอ่ยจบพลันถูกฝ่าเท้าขัดจังหวะขึ้นเสียก่อน ร่างของนางปลิวออกไปราวกับลูกธนูที่หลุดจากคันศร พลันกระแทกกับต้นไม้อย่างจัง

ความเจ็บปวดและความอับอายทำให้นัยน์ตาของมู่อี้เสี่ยกลายเป็นสีแดงฉาน พลางจ้องมองชายหนุ่มเปี่ยมเสน่ห์อย่างขุ่นเคือง

“อู๋เฉิน เช็ดให้สะอาดเสีย อย่าให้เท้าเจ้าสกปรก” มู่หรูเยว่ลุกขึ้นยืนพร้อมคลี่ยิ้ม นำผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งยื่นให้ทางด้านหน้าของเย่อู๋เฉิน “จริงสิ หลังเช็ดเรียบร้อยแล้วก็โยนทิ้งไปเสีย ไม่ต้องนำมาคืนข้า”

“น่าเสียดายยิ่งนัก เป็นผ้าเช็ดหน้าเนื้อดีแท้ๆ”

เย่อู๋เฉินถอนใจออกมา ใบหน้าฉายแววเสียดายเสมือนว่าการใช้ผ้าเช็ดหน้าผืนนี้เช็ดเท้าที่เตะมู่อี้เสี่ยออกไปนั้นเป็นการดูแคลนผ้าเช็ดหน้าเหลือเกิน

มู่อี้เสี่ยโกรธเสียจนใบหน้าของนางเป็นสีแดงจัด ตั้งแต่เล็กจนโตมีครั้งใดบ้างที่นางถูกเหยียดหยามถึงเพียงนี้? ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนเป็นเพราะนังแพศยามู่หรูเยว่คนเดียว

มู่หรูเยว่ ข้า มู่อี้เสี่ยสาบานว่าจะไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่!

เย่อู๋เฉินคลี่ยิ้ม นัยน์ตาเปี่ยมเสน่ห์ของเขาแผ่กลิ่นอายเผด็จการออกมา เขากวาดสายตาไปทางมู่อี้เสี่ยที่มีท่าท่าอิจฉาริษยาอยู่ครู่หนึ่ง ริมฝีปากเขาคลี่ยิ้มอย่างชั่วร้าย พลางเอ่ย “นางเป็นชายาเอกของเรา อย่าว่าแต่ชงชาให้นางเลย ต่อให้เป็นข้ารับใช้นาง นั่นล้วนเป็นเรื่องของเรา!”

ร่างกายบอบบางของมู่อี้เสี่ยสั่นเทา เหตุใดผู้ชายที่โดดเด่นอย่างเย่อู๋เฉินผู้นี้จึงถูกมู่หรูเยว่ช่วงชิงไป? นางไม่ยอม นางยอมไม่ได้!

“ฝ่าบาท โปรดคลายโทสะ” มู่ชิงรีบคุกเข่าลง ใช้สายตาห้ามปรามมองไปทางมู่อี้เสี่ย จากนั้นจึงเอ่ยต่อ“ข้ามาที่นี่วันนี้ เรื่องแรกเพื่อเยี่ยมบุตรสาวของข้า เรื่องที่สองให้เสี่ยเอ๋อร์มาอยู่เป็นเพื่อนมู่เอ๋อร์ นางไม่ต้องการฐานะใดๆ หากฝ่าบาทต้องการ เสี่ยเอ๋อร์นางยินดีช่วยแบ่งเบาภาระของเยว่เอ๋อร์”

มู่ชิงเอ่ยอย่างชัดเจน เขาต้องการมอบบุตรสาวให้ ในเมื่ออีกเย่อู๋เฉินเป็นเชื้อพระวงศ์และโดดเด่นถึงเพียงนี้ เป็นเรื่องธรรมดาที่จะมีสามภรรยาสี่อนุ ในดินแดนแห่งนี้นับว่าหาได้ยากที่จะมีบุรุษจะมีภรรยาคนเดียว

ไม่ว่ากุ่ยหวังจะรักใคร่มู่หรูเยว่ถึงเพียงไหน ก็ย่อมต้องแต่งภรรยาเข้ามาสักสองคน และรับอนุอีกจำนวนหนึ่ง ดังนั้นมู่ชิงต้องหาทางช่วงชิงตำแหน่งชายารองนั้นมาให้ได้

ใบหน้าของเย่อู๋เฉินเป็นสีเข้มขึ้น ร่างกายแผ่จิตสังหารออกมา พลางเอ่ย “มู่เอ๋อร์ สวามีพึ่งบอกไปว่าไม่จำเป็นต้องพบคนตระกูลมู่พรรคนี้ แต่เจ้าก็ยังยืนกรานอยากเห็นว่าพวกเขาไร้ยางอายถึงเพียงไหน เจ้าเห็นแล้วหรือไม่? คนไร้ยางอายผู้นี้ไม่คู่ควรเป็นบิดาของเจ้า!”

มู่ชิงร่างกายสั่นสะท้าน จ้องมองเย่อู๋เฉินอย่างตกตะลึง

หลังจากรับรู้ถึงกลิ่นอายที่แผ่จากร่างของเย่อู๋เฉิน หัวใจของเขาพลันกระตุกเกร็งถึงขนาดที่สัมผัสได้ถึงลมหายใจที่ขาดห้วง ความกดดันอันหนักหน่วงนี้ทำให้เขาแทบจะทนไม่ไหว


บทที่ 143 โศกนาฏกรรมของมู่อี้เสี่ย ตอนที่ 2


“เจ้าอยากรับใช้เราหรือ?” เย่อู๋เฉินคลี่ยิ้ม รอยยิ้มของเขาแฝงด้วยความเยียบเย็น อาภรณ์สีม่วงของเขาสะพัดไปตามลม ทั่วทั้งร่างแผ่กลิ่นอายบ้าคลั่งทำให้ผู้อื่นตื่นตระหนกอย่างลืมตัว

ชายผู้นี้ ไม่ใช่คนที่ควรยั่วยุให้เกิดโทสะ...

“เราไม่ต้องการผู้หญิงมากมาย ชั่วชีวิตนี้เพียงนางคนเดียวก็พอแล้ว หากเรากระทำเรื่องผิดต่อนาง ยินดีตายอย่างไร้ผู้สืบสกุล ขอให้ตกสู่ห้วงนรกไม่ได้ผุดได้เกิดตลอดไป!”

มีคำกล่าวที่ว่า ‘เหนือศรีษะสามฉื่อมีเทพยดา’ ผู้คนบนโลกใบนี้ยึดถือในเทพและคำสาบานอย่างมาก เขากล้ากล่าวคำสาบานที่หนักแน่นเช่นนี้ออกมา มีผู้ใดไม่ตื่นตระหนกบ้าง?

มู่หรูเยว่จ้องมองชายหนุ่มอย่างตื้นตันใจ เขาเองก็เป็นคนที่นางยอมรับเพียงคนเดียวชั่วชีวิต...

“มู่หรูเยว่ เจ้ายอมให้เขาทำเช่นนั้นหรือ?” มู่อี้เสี่ยสีหน้าเปลี่ยนกระทันหัน นางตะโกนใส่หน้ามู่หรูเยว่

หากว่ากุ่ยหวังไม่ประสงค์จะรับชายาหรืออนุอื่นใด เช่นนั้นนางก็หมดหวัง? แล้วหัวใจของนางจะจัดการเยี่ยงไรดี?

ช่างน่าขันที่มู่อี้เสี่ยลืมเลือนไปแล้วว่านางมิใช่สาวบริสุทธิ์ และสูญเสียโอกาสนั้นไปนานแล้ว

“ทำไมจะมิได้?” มู่หรูเยว่เลิกคิ้วพลางแค่นหัวเราะเย็นชา “ผู้ชายของข้า ชั่วชีวิตมีข้าได้เพียงผู้เดียว ไม่อย่างนั้นข้าคงไม่ยินดีแต่งงานกับเขา”

“เจ้า… มู่หรูเยว่ เจ้ามันหญิงชั่วร้าย!”

มู่อี้เสี่ยจวนเจียนจะบ้าคลั่งเต็มที เหตุใดสตรีผู้นี้จึงกล่าววาจาออกมาราวกับเป็นเรื่องถูกด้วยเหตุและผล นางไม่กลัวว่าจะถูกผู้คนรุมประณามหรอกหรือ?

ถึงแม้ว่าดินแดนนี้จะนับถือผู้กล้าแต่ถึงอย่างไรฐานะของสตรีย่อมเป็นรองบุรุษอยู่เสมอ ไม่ว่าสตรีจะแข็งแกร่งมากเพียงไหน นางต้องสนับสนุนให้สามีรับอนุอยู่ดี

เมื่อหลายปีก่อนแคว้นสือเยว่นั้นมีคู่สามีภรรยาที่แข็งแกร่งคู่หนึ่ง สามีภรรยาคู่นั้นทั้งแข็งแกร่งและรักใคร่กันมาก แต่ท้ายที่สุดแล้าฝ่ายชายก็ยังรับอนุเข้ามาสองคน

มีเพียงข้อยกเว้นเดียวนั่นคือ หนานอันหวังและพระชายา เสด็จพ่อและเสด็จแม่ของกุ่ยหวังนั่นเอง

ในยามนั้นหนานอันหวังมีเพียงกุ่ยหวังเป็นบุตรชายคนเดียว พระชายาจึงคิดช่วยเขารับอนุ แต่หนานอันหวังกล่าวปฏิเสธ จากเหตุการณ์นั้นเห็นได้ชัดว่า พระชายาของหนานอันหวังเองก็ไม่ต้องการยึดครองความรักของสวามีไว้เพียงผู้เดียว

เหตุใดสตรีผู้นี้จึงกล่าววาจาออกมาราวกับเป็นเรื่องถูกด้วยเหตุและผล?

นางยังกล่าวอีกว่า หากกุ่ยหวังไม่ยินยอมมีนางเพียงคนเดียว อย่างนั้นนางไม่ยินดีแต่งงานกับเขา? นางไม่กลัวว่าจะถูกผู้คนสาปแช่งเอาหรือ?

“สวามี ท่านว่าข้าเป็นหญิงชั่วร้ายหรือไม่?” มู่หรูเยว่เลิกคิ้ว นางหันไปทางเย่อู๋เฉิน เอ่ยถามด้วยใบหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง

คำเรียกว่า ‘สวามี’ นั้นราวกับพุ่งกระทบหัวใจของเย่อู๋เฉิน สีหน้าของเขาพลันอ่อนโยนลงขณะจ้องมองมู่หรูเยว่มีที่ทีท่าขัดเคือง

“หญิงชั่วร้าย? ชายาของเราจะเป็นหญิงชั่วร้ายไปได้อย่างไร? นั่นเพียงหมายความว่าชายาเอาใจใส่สวามี ในฐานะสวามีนั้น เรียกว่าสุขใจก็ยังไม่พอ หากผู้อื่นต้องการสอดแทรกเข้ามาตรงกลางระหว่างเรา...”

เย่อู๋เฉินมีสีหน้าเข้มขึ้น มุมปากเขาเผยรอยยิ้มชั่วร้ายออกมา พลางเอ่ย “เราไม่ถือที่จะให้คนพวกนั้นไปเป็นอาหารงู!”

มู่หรูเยว่ยักไหล่พลางจ้องมองมู่อี้เสี่ยที่มีใบหน้าซีดเผือดด้วยรอยยิ้ม นางเอ่ยอย่างอับจนหนทาง “สวามีข้าอะไรก็ดีไปหมด ติดอยู่เรื่องหนึ่ง เขารักสัตว์เลี้ยงมาก อ้อ จริงสิ สัตว์เลี้ยงของเขาเป็นงูยักษ์สิบกว่าตัว หากเจ้าต้องการแบ่งเบาภาระแทนพวกเรา อย่างนั้นไปเป็นอาหารงูเหล่านั้นเสียเถิด ข้าเชื่อว่าพวกเขาต้องยินดีเป็นอย่างมาก”

ร่างกายบอบบางของมู่อี้เสี่ยสั่นสะท้าน ใบหน้าเล็กเป็นสีซีดขาว ร้องตะโกนออกมา “ไม่นะ ข้าไม่เอา ข้าไม่อยากเป็นอาหารงู! มู่หรูเยว่ เจ้าชั่วร้ายถึงเพียงนี้ต้องรับผลกรรมเป็นแน่!”

Last Modified: Thursday, March 2, 2017

หมอยาเจ้าเสน่ห์: จอมใจราชาปีศาจ บทที่ 140-141

บทที่ 140 การมาเยือนอย่างไร้ยางอายของตระกูลมู่ ตอนที่1


‘ข้าจะรอให้เจ้าแข็งแกร่งขึ้น หลังจากนั้นเจ้าจะก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดเช่นเดียวกับข้า ร่วมเคียงบ่าเคียงไหล่ไปด้วยกัน…’

คำพูดของชายหนุ่มราวกับหินก้อนใหญ่ร่วงลงมาบนอกของมู่หรูเยว่ นางเงยหน้ามองชายหนุ่มที่กดร่างนางลงมา มือของนางยกขึ้นลูบใบหน้าหล่อเหลาเปี่ยมเสน่ห์ของเขา จากนั้นจึงคลี่ยิ้มออกมา

“ตกลง ข้าจะแข็งแกร่งขึ้น เพื่อขึ้นไปอยู่จุดสูงสุดเช่นเดียวกับท่าน และร่วมเคียงบ่าเคียงไหล่ไปด้วยกัน”

นี่คือจุดมุ่งหมายของนาง ร่วมเดินเคียงข้างเพื่อให้บรรลุเป้าหมายพร้อมกันกับชายผู้นี้

เย่อู๋เฉินคลี่ยิ้มไม่พูดอะไรต่อ เขาโน้มกายลงจุมพิตริมฝีปากของเด็กสาว มอบความรู้สึกทั้งหมดทั้งมวลลงไปกับจุมพิตครั้งนี้

“เจ้าว่าอะไรนะ?”

ภายในจวนตระกูลมู่ มู่ชิงทุบโต๊ะดัง ปึง! นัยน์ตาของเขาเปล่งประกายวูบหนึ่ง  “เจ้าบอกว่ากุ่ยหวังแสร้งทำตัวโง่เง่า ทั้งยังเป็นประมุขตำหนักกุ่ย แล้วยังมีรูปลักษณ์หล่อเหลาและพลังอันแข็งแกร่ง?”

ช่างน่าขันที่พวกเขาต่างทำเหมือนกุ่ยหวังเป็นคนโง่เง่าคนหนึ่ง

มู่หรูเยว่นั้นมีอะไรดีจึงได้จับพลัดจับพลูได้บุคคลที่โดดเด่นเช่นนี้เป็นสามี? ไม่ได้การ เขาต้องหาทางมิให้มู่หรูเยว่ได้ฉกฉวยโอกาสเช่นนี้ไป

“ใครก็ได้ ไปบอกเสี่ยเอ๋อร์ให้นางเตรียมตัวไปเยี่ยมพี่สาวนางพร้อมกับข้า”

ไม่ว่าอย่างไร ตระกูลมู่ของเขาย่อมต้องคว้าโอกาสอันดีเช่นนี้เอาไว้ ตำหนักกุ่ยนั้นมีอิทธิพลขนาดไหน? ได้ยินมาว่าหากเทียบกับสำนักชิงหยุนแล้วยังกล้าแข็งยิ่งกว่า ความสามารถของประมุขตำหนักกุ่ยนั้นยังเป็นปริศนา ผู้ใดจะคาดคิดว่าประมุขตำหนักกุ่ย สร้างภาพตัวเองว่าโง่เง่า อีกทั้งยังมีรูปลักษณ์เหมือนภูตผี?

หากมู่หรูเยว่สามารถเป็นชายาเอกของกุ่ยหวังได้ อย่างนั้นเขาต้องส่งเสี่ยเอ๋อร์ไป หากนางได้เป็นชายารอง เขาก็จะไม่พลาดโอกาสที่สานสัมพันธ์กับกุ่ยหวัง

อย่างไรก็ตาม มู่ชิงรู้ดีว่ามู่หรูเยว่นั้นมิใช่บุตรสาวแท้ๆของตระกูลมู่ เป็นเพราะความต้องการของท่านผู้นั้น ทำให้เขาต้องรับนางเข้ามา และนับนางเป็นบุตรสืบสายเลือดของตระกูลมู่

เนื่องมาจากมู่หรูเยว่ไม่ใช่บุตรสาวของสาวของเขา มู่ชิงจึงได้ปฏิบัติต่อนางอย่างโหดร้ายเช่นนี้ นางไม่ใช่บุตรสาวของเขาอีกทั้งยังเป็นคนไร้ค่า ผู้ใดยังต้องการนางอีก?

เสียดายเหลือเกินที่มู่ชิงในยามนี้ไม่รู้ว่า มู่อี้เสี่ยนั้นไม่ใช่หญิงบริสุทธิ์ อีกทั้งยังถูกอุบายของเย่อู๋เฉินให้ข้ารับใช้ต่ำต้อยคอยรังควานนาง หญิงสาวเช่นนี้ ไม่ต้องพูดถึงเย่อู๋เฉิน ต่อให้เป็นผู้อื่นก็เกรงว่าคงไม่มีใครต้องการ

-------

สายลมพัดปลิว ใบไม้สีแดงค่อยๆร่วงหล่นลงมา

มู่หรูเยว่เอนกายอย่างเกียจคร้านพิงร่างของเย่อู๋เฉิน ริมฝีปาดของนางคลี่ยิ้มอย่างพึงใจ เย่อู๋เฉินช่วยนางปอกเปลือกองุ่นจากนั้นจึงป้อนนาง

นางกัดลูกองุ่นเบาๆ แต่ก่อนที่นางจะกลืนลงไปหลี่ลู่ก็เดินเข้ามาเสียก่อน “นายหญิง พ่อลูกตระกูลมู่ต้องการพบท่าน ท่านจะพบหรือไม่?”

“มาพบข้า?” มู่หรูเยว่หัวเราะหยัน “พวกเขาอยากมาพบข้า? เกรงว่าจะไม่แค่นั้น...”

หลังจากเอ่ยประโยคนั้น นางเหลือบสายตาไปทางเย่อู๋เฉิน พลางเอ่ย “ข้าเดาว่าพวกเขาต้องการพบท่าน พวกเขาคงได้ยินข่าวเรื่องที่ท่านไม่ใช่คนโง่เง่า ดังนั้นจุดประสงค์การมาของเขาคงต้องการให้ท่านรับมู่อี้เสี่ยไว้เป็นชายารอง”

นัยน์ตาของเย่อู๋เฉินฉายแววรังเกียจวูบหนึ่ง เขาแค่นหัวเราะเย็นชาอย่างลืมตัว “ดูเหมือนว่ามีใครบางคนไม่รู้จักเจียมสถานะของตัวเอง เรามีชายาเอกอยู่แล้ว และไม่ต้องการมีชายาอื่น จับพวกเขาโยนออกไปให้เรา อย่าลืมเอาน้ำมาล้างเชื้อโรคทุกที่ที่พวกเขาเดินผ่านด้วย”

หลี่ลูคลี่ยิ้มออกมา ดูเหมือนว่ากุ่ยหวังผู้นี้รักใคร่นายหญิงของเขาอย่างยิ่ง

“ข้าทราบแล้ว”

ในขณะที่หลี่ลู่กำลังจะหมุนตัวจากไป น้ำเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากด้านหลัง “ช้าก่อน”

“นายหญิง ท่านมีอะไรจะสั่งอีกหรือ?”

ในยามนี้ หลี่ลู่ได้กลายเป็นพ่อบ้านของมู่หรูเยว่อย่างเต็มตัว และดูเหมือนว่าเขาจะลืมเลือนฐานะบุตรชายท่านแม่ทัพของตัวเองไปเรียบร้อยแล้ว

บทที่ 141 การมาเยือนอย่างไร้ยางอายของตระกูลมู่ ตอนที่2


มู่หรูเยว่เอนกายบนร่างของเย่อู๋เฉิน ใบหน้าฉายแววเกียจคร้ายอยู่วูบหนึ่ง นางบิดร่างของตน พลางเอ่ยอย่างเสแสร้งว่า “ให้พวกเขาเข้ามา ข้าอยากดูสักหน่อยว่าพวกเขาจะไร้ยางอายได้ถึงเพียงไหน”

หลี่ลู่จ้องมองมู่หรูเยว่อย่างตกตะลึง พลางเอ่ย “ทราบแล้ว นายหญิง”

ในขณะที่เอ่ยอยู่เขาพลันหมุนตัวและเดินออกไป ไม่นานนักร่างของพวกเขาสองพ่อลูกก็ปรากฏสู่สายตา เมื่อเทียบกับมู่ชิงที่ใบหน้าเต็มไปด้วยแผนการแล้ว มู่อี้เสี่ยยามที่จ้องมองเย่อู๋เฉินนั้น นัยน์ตางดงามเต็มไปด้วยความรักใคร่

ที่แท้เขาคือกุ่ยหวัง คนโง่เง่าเมื่อก่อนหน้านั้น

คิดไม่ถึงว่ากุ่ยหวังไม่เพียงมีหน้าตาหล่อเหลาเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังอดทนแสร้งเป็นคนโง่เง่าเพื่อรักษาชีวิตเอาไว้ ผู้ชายที่โดดเด่นเช่นนี้ มีสตรีนางใดบ้างไม่ตกหลุมรักเขา?

ยิ่งไปกว่านั้น ก่อนหน้านี้มู่อี้เสี่ยเองก็หลงเสน่ห์เย่อู๋เฉินจากรูปลักษณ์อันหล่อเหลาของเขา

เมื่อมู่ชิงก้าวมาในเรือนมู่ เขารู้สึกได้ว่ามีกลิ่นอายของผู้กล้ามากมายกดดันเข้ามา ทำให้หัวใจของเขาหวั่นไหวเล็กน้อย เขาเข้าใจว่ากลิ่นอายเหล่านั้นมาจากลูกน้องของเย่อู๋เฉิน

ไม่ว่าเขาจะครุ่นคิดถึงเพียงไหนเขาก็คงคาดไม่ถึงว่าผู้กล้าเหล่านี้ล้วนเป็นขุมกำลังที่มู่หรูเยว่จัดตั้งขึ้น -- สำนักพิฆาตสวรรค์

หลี่ลู่ได้รวบรวมผู้กล้าไว้มากมายนับตั้งแต่ตอนที่นางเดินทางไปร่วมงานชุมนุมโอสถเป็นต้นมา หลังจากที่ผ่านการฝึกปรือจากยานับไม่ถ้วน ความแข็งแกร่งของผู้กล้าเหล่านั้นยิ่งเพิ่มพูน แรกเริ่มผู้กล้าเหล่านี้ไม่ได้รั้งอยู่ที่เรือนมู่ แต่หลังผ่านเหตุการณ์ของเตี๋ยอีที่เกิดขึ้นในวันนั้น มู่หรูเยว่ก็เรียกให้ทุกคนกลับมา และฝึกฝนอยู่ภายในเรือนมู่

“เยว่เอ๋อร์” มู่ชิงมองไปยังเด็กสาวที่นั่งอยู่บนตัวของเย่อู๋เฉิน คิ้วของเขาขมวดหากันอย่างไม่พอใจเล็กน้อยที่ได้เห็นการกระทำไร้มารยาทเช่นนี้ ต่อให้เป็นสตรีที่แต่งงานแล้วก็ไม่สมควรนั่งบนตักสามีอยู่ดี

แต่เมื่อคิดถึงจุดประสงค์ในการมาที่นี่ มู่ชิงก็ข่มใจไม่เอ่ยตำหนิออกไป เขาฝืนคลี่ยิ้มอย่างฝืดเฝื่อน พลางเอ่ย “เจ้าอยู่ที่นี่คนเดียวคงเหงาแย่ ดังนั้นพ่อจึงให้เสี่ยเอ๋อร์มาอยู่เป็นเพื่อนเจ้า”

นี่มิใช่คำขอร้องแต่เป็นคำสั่ง เขาเอ่ยจุดประสงค์ในการมาที่นี่ออกมาตรงๆ

มู่หรูเยว่แค่นหัวเราะ นัยน์ตาสีดำกวาดมองมู่ชิงอย่างเย็นชา พลางเอ่ย “ข้าอยู่ที่นี่คนเดียว? เย่อู๋เฉินมิใช่คนหรือ? หลี่ลู่มิใช่คนหรือ? คนอื่นๆมิใช่คนหรือ?”

มู่ชิงกระแอมไอสองครั้ง พลางเอ่ย “กุ่ยหวังนั้นถึงอย่างไรก็เป็นคู่หมั้นของเจ้า พวกเจ้าไม่อาจพบกันบ่อยๆ ส่วนหลี่ลู่นั้นมองว่าเจ้าเป็นเจ้านาย ฐานะจึงไม่เหมือนกัน ดังนั้นข้าจึงคิดให้น้องสาวมาอยู่เป็นเพื่อนเจ้า”

“ฐานะ?” มู่หรูเยว่กลั้วหัวเราะ รอยยิ้มของนางเย็นชาและแฝงไปด้วยความเย้ยหยัน “ประมุขตระกูลมู่คิดว่าคุณหนูตระกูลคหบดีอย่างนางสามารถเทียบเคียงกับฐานะของข้าอย่างนั้นหรือ?”

มู่หรูเยว่กล่าวถูกต้อง นางไม่เพียงเป็นชายาเอกของกุ่ยหวัง ยังเป็นลูกศิษย์ของท่านอาจารย์อู๋หวีด้วย อีกทั้งยังเป็นนายหญิงของตำหนักกุ่ยอีก ไม่ว่าจะด้วยฐานะอันใดก็ไม่อาจนำมาเทียบเคียงกับมู่อี้เสี่ยได้

มู่อี้เสี่ยในยามยี้กำหมัดแน่น นัยน์ตาที่เต็มไปด้วยความริษยาจับจ้องไปยังมู่หรูเยว่

“มู่เอ๋อร์ เจ้าคอแห้งหรือไม่?” เย่อู๋เฉินมองสองพ่อลูกตระกูลมู่อย่างเย็นชา จากนั้นจึงเลื่อนสายตาไปยังมู่หรูเยว่ ใบหน้าที่หล่อเหลาราวกับเทพนั้นคลี่ยิ้มออกมาอย่างมีเสน่ห์และอ่อนโยน “เจ้าอยากให้สวามีช่วยชงชาให้เจ้าหรือไม่?”

“ชาต้าหงเผาที่อาวุโสจ้าวนำมาให้คราวก่อนรสชาติไม่เลว แต่ข้าไม่อยากให้เข้มจนเกินไปนัก ข้าไม่ชอบรสขมของชา” มู่หรูเยว่ผงกศรีษะ หันไปทางเย่อู๋เฉินพลางเอ่ยตอบ

เย่อู๋เฉินลูบเรือนผมเงางามของนางอย่างอ่อนโยน สายตาที่แฝงด้วยรอยยิ้มของเขาราวกับทำให้ผู้คนลุ่มหลง

“เข้าใจแล้ว”

การกระทำของคนทั้งสองยั่วยุให้มู่อี้เสี่ยเกิดความริษยาขึ้นในใจ นางจ้องมู่หรูเยว่ด้วยสายตาเกลียดชังราวกับใบมีดที่กรีดลึกลงไปที่ใบหน้างดงามของอีกฝ่าย

-------
แอร๊ยย ช่วงนี้วุ่นวือกับหัวข้อวิจัย ผลุบๆโผล่ๆมาก ขออภัยด้วยค่ะ T^T